การปรับตัวของคนทำงานในยุคที่ธุรกิจมีการปรับเปลี่ยน
ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ผู้เขียนเคยคุ้นอย่างแรงกับธุรกิจการค้าแนว"ค้าปลีก" หรือที่เรียกกันว่า "Retail Business" และในรอบไม่กี่ปีที่ผ่านมา เรียกว่าสดมากๆ ที่มองเห็นแนวโน้มที่เปลี่ยนไปของธุรกิจนี้
เมื่อตอนต้นของเมื่อ 20 ปีก่อน เราอาจมองเห็นห้างสรรพสินค้าประเภทต่างๆ หรือยี่ห้อต่างๆทะยอยกันผุดขึ้นมาในเมืองไทย และทะยอยแตกกิ่งก้านสาขาออกไปทั่วประเทศ แทบจะทุกหย่อมหญ้า
สมัยต่อมา แนวโน้มความสะดวกเริ่มโจมตีหัวใจเรา ความสะดวกสบายและสนุกเป็นสิ่งแรกๆที่เรามองหา ห้างฯที่อยู่ไกลไปสัก 2-3 กิโลเมตร อาจทำให้เรารู้สึกเสียเวลา ร้านสะดวกซื้อหน้าปากซอยคล้ายจะดึงดูดใจมากกว่า และยังไม่พอ ยังออกแบบลูกเล่นมาให้เราสนุกได้แทบทุกวัน
ยิ่งไปกว่านั้น ร้านค้าขนาดย่อมที่มีสินค้าจำเป็น บริการมาตรฐาน ไปที่ไหนก็เจอ ราคากลายเป็นปัจจัยที่ต้องหลุบสายตาลงเมื่อปัจจัยอื่นเข้ามาแทนที่ ยิ่งไปกว่านั้นการให้บริการที่มีมาตรฐาน รวดเร็ว ไม่ต้องรอคิวนานก็สามารถครองใจผู้บริโภคได้อย่างเหลือล้น
ปัจจุบันที่มาแรงมากๆคงหนีไม่ธุรกิจออนไลน์ ที่มาแรงมากในช่วงไม่กี่ปีนี้ เรียกว่าใครก็สามารถเป็นผู้ขายได้หมด และก็เป็นผู้ซื้อในเวลาเดียวกันด้วย แต่ในสายตาของผู้เขียนที่ไม่ได้หาข้อมูลเชิงสถิติหรืออะไรเลย แค่เป็นเพียงผู้เล่นในเกมส์คนหนึ่งที่ได้มีประสบการณ์มาทุกรูปแบบ
ได้ฟังข่าวเรื่องการแทนที่แรงงานมนุษย์ด้วย ai ด้วยหลายๆเหตุผล ไม่ว่าจะเป็นการลดต้นทุนด้าน HR หรือสร้างมาตรฐานการบริการที่ไม่ใช้อารมณ์ เราก็หันกลับมาถามตัวเองว่า :
-ในฐานะที่เป็นผู้บริโภคที่มีความต้องการแค่ชั้นเบสิค เราต้องการอะไรเมื่อจะซื้อสินค้าหรือบริการอะไรสักอย่าง
-ต้องการข้อมูลสินค้าที่เพียงพอต่อการตัดสินใจซื้อ
-ราคาที่ยอมรับได้
-ได้สินค้าถูกต้องตามที่ต้องการในเวลาที่กำหนด
หมายเหตุ: ผู้เขียนหมายรวมถึงการค้าทุกรูปแบบ
หากต้องการเพียงแค่นี้ การนำเสนอข้อมูลสินค้าจากระบบ จาก โฆษณาต่างๆเพียงพอหรือไม่ การปลีกตัวจากคู่แข่งชัดเจนหรือไม่ หรือสิ่งอื่นใดที่จะช่วยเพิ่มการตัดสินใจซื้อของลูกค้า สามารถส่งผ่านสื่อต่างๆไปถึงลูกค้าเป้าหมายได้โดยตรงเลยหรือไม่ หากจบที่ตรงนั้น ทำไมธุรกิจจำเป็นต้องมีนักขาย
ในแง่ของผู้ขาย :แนวทางหรือพฤติกรรมโดยรวมของผู้บริโภคในตลาด สินค้าของเราอยู่ตรงไหน
หากเราต้องการสร้างแบรนด์ เราอาจมองว่าลูกค้าเราเป็นใคร โดยแบ่งตามแนวหรือประเภทสถานที่ๆลูกค้าหรือเราเองชอบ เช่น เราชอบเดินตลาดนัด เราชอบซื้อจากร้านที่พ่อแม่เราคุ้นเคย หรือติดกับเจ้าของร้านเก่าแก่ หรือว่านิยมไปเดินเล่นตากแอร์ดูของที่หลากหลาย หรือจะตรงไปที่ๆหนึ่งเพื่อซื้อของอย่างใดอย่างหนึ่งเลย เราอาจพิจารณาเอาจากตรงนี้และตัดสินใจเลือกให้ตรงกับเป้าหมายของเรา
วันนี้ยังไม่เข้าประเด็นสักที ผู้เขียนกำลังมองว่า ตลาดแรงงานยังจะเหลือที่ว่างให้เราอีกหรือไม่ หรือพูดกันง่ายๆว่า จะมีใครจ้างใครไปทำงานอีกมั้ย
-ตลาดโดยรวมซบเซา รายได้ไม่พอจ่ายค่าแรงลูกจ้าง
-ลูกค้าหันมาซื้อของออนไลน์ ไม่จำเป็นต้องใช้คนเยอะ
-ใช้ ai ทำงานแทนไปเลยดีมั้ย ไม่ต้องจ่าย OT ไม่มีรายเดือน ไม่ประท้วงโบนัส ไม่มีขาด ลา มาสาย เลยไม่ต้องจ่ายสวัสดิการไปด้วย 555 จ้างกันแค่ที่จำเป็น
ตลาดแรงงานใหญ่ที่ผู้เขียนมองก็ยังคงเป็นในส่วนงานผลิตและงานค้าปลีก หลายปีก่อนเคยหาข้อมูล (ไม่ไ้ด้อัพเดทชีวิตเล้ย) เจอตำแหน่งงานที่เปิดรับมากที่สุดคือพนักงานขาย คราวนั้น การขยายจุดขายคือแผนงานอย่างหนึ่ง โดยการจ้างพนักงาน 1 คน เราก็คาดว่าจะทำยอดขายให้เราได้ xxx, xxx บาทต่อเดือน คูณเข้ากับจำนวณคนต่อจุดขายก็เป็นยอดขายประมาณการ เรามีแผนพัฒนานักขายของเราให้ทำผลงานให้ได้เป้า เพราะเรามีค่าใช้จ่ายคงที่ในส่วนของค่าแรง แต่เมื่อผลักและดันกันหลายที ประกอบกับจุดนั้น คู่แข่งเราก็จอดเหมือนกัน เราก็เลยประเมิณว่า พอเห๊อะ พับกระเป๋ากลับคงคุ้มกว่า ดังนั้นจุดขายที่ไม่ทำเงินในระยะเวลาหนึ่งก็จะหดหายไป การจ้างงานตรงนั้นก็จะหายไปด้วย
เมื่อมาถึงยุคที่ผู้บริโภคนิยมก้มหน้า(อยู่กับสมาร์ทโฟน) เราก็เลยต้องการแค่คนใส่ข้อมูลในระบบตามที่การตลาดคิดออกมา ดังนั้นกิจกรรมทางการตลาดของเราจึงไปอยู่ในโทรศัพท์มากกว่าที่อื่น
จุดขายออฟไลน์ต่างๆก็ต้องปรับตัว ครั้งหนึ่งผู้เขียนมีโอกาสได้ทำงานกับนายที่แสนจะปราดเปรื่อง ตอนนั้นร้านเราค่อนข้างจะง่อนแง่น คนไม่ค่อยเข้า เรียกว่า ทราฟฟิกน้อยมาก ร้านค้าที่ไม่มีลูกค้ามาเดินก็เท่ากับขาดโอกาสให้สินค้าเสนอตัว และนักขายก็ขาดโอกาสแนะนำสินค้าด้วยเช่นกัน เมื่อพากันขาดไปหมด ก็เลยเกิดช่องโหว่ในกระเป๋ารายได้
นายของผู้เขียนรู้ว่า ใครบ้างที่อยู่แถวๆร้านเรา และใครบ้างที่จะมาร้านเราได้ แต่ยังไม่เห็นเหตุผลเพียงพอว่าทำไมต้องมา ก็ออกกลยุทธ์อย่างหนึ่งมา ทำให้มีคนหลากกลุ่มเข้ามาหาเรากันทุกวัน คนไหนที่มาได้วันธรรมดาก็จะเลือกมาหาเราแทนที่จะไปหาคู่แข่ง และคนไหนที่ไม่มีเหตุต้องมาวันธรรมดาก็จะมาวันหยุดแทนด้วยกลยุทธ์จูงใจให้อยากจะมา
ร้านเรามีแทบทุกสิ่งที่มนุษย์คนหนึ่งจะเพียงพอต่อการดำรงชีพ เรารู้ว่าคนจะซื้ออะไรทุกวัน และเราจะได้ตังค์เพียงพอจากการขายขายอะไร ในที่สุดด้วยความสามารถในการบริหารของเจ้านายของผู้เขียน ความสำเร็จก็มาสู่เราทั้งทีม
วันนี้เทรนการบริโภคอาจเปลี่ยนไป หากเราเปิดร้านไว้ เราคงต้องการให้มีลูกค้าแวะเวียนเข้ามา อย่างน้อยก็ให้โอกาสสินค้าได้ขายตัวเอง คนขายได้แสดงฝีมือ ซึ่งโจทย์ของเราข้อแรกก็จะเป็น ทำไมคนต้องเสียเวลามาร้านเรา แล้วข้ออื่นๆก็จะตามมา
คนทำงานก็จะมีงานทำ ร้านค้าก็จะยังคงซื้อของที่โรงงานผลิตมา
คนทำงานหลายๆคนเมื่อมองเห็นอุปสรรคทั้งที่เป็น Threat และ Weakness ของตัวเองแล้ว ก็อาจจะตั้ง Action Plan ของตัวเองไว้ว่าเราจะปรับตัวอย่างไรเมื่อความต้องการแรงงานที่เปลี่ยนไป
วันนี้ลากไป ลากมา ประเด็นที่อยากจะบอกก็อยู่ตรงย่อหน้าสุดท้ายนี่เอง คราวหน้าจะไปต่อกันที่เรื่องของความต้องการในงานแต่ละส่วนกันดีกว่า... ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลาอ่านค่ะ
หาอ่านเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้ได้จากหนังสือในร้านเรา 2 เล่ม คือ พูดอังกฤษดีมีงานทำ " ทั้ง 2 เล่ม โดย
- เล่มสีฟ้า จะพูดเกี่ยวกับหน้าที่หรือ Roles and Responsibilities หรือ Qualifications ของงานในตำแหน่งต่างๆ และความคาดหวังของเนื้องานนั้น
- ส่วนเล่มสีเหลืองจะเน้นในรื่องของงานขายเป็นหลัก โดยเฉพาะงานในส่วนของการให้บริการ ณ จุดขาย
ประเด็นของทั้ง 2 เล่ม คือ การฝึกทักษะภาษาอังกฤษเพื่อใช้ในงาน เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับตัวเองได้ระดับหนึ่งจ้า..