เคยมั้ย อยากมีธุรกิจส่วนตัว แต่ไม่รู้จะทำอะไรดี หลายท่านอาจเลือกจากสิ่งที่คุ้นเคย จากความเคยชิน และที่สำคัญเรามักเลือกจากสิ่งที่ชอบ แม้จะมีคนบอกไว้ว่า อย่ามองแต่ตัวเอง ให้ดูจากลูกค้าเป็นหลัก ให้คิดไว้ก่อนว่า ใครคือลูกค้าเรา หรือเราจะขายสินค้าหรือบริการให้ใคร อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคุณจะเลือกจากอะไร ให้นึกถึงอีกตำราหนึ่งไว้เสมอ ที่บอกว่า "เราจะต้องใช้เวลา ทุ่มเทอยู่กับมัน" นั่นหมายถึงว่าเราจะต้องถึงขั้นฟูมฟัก ดังนั้นหากสิ่งที่ทำไม่ใช่สิ่งที่ชอบ ไม่ใช่สิ่งที่รัก เราจะอยู่กับมันได้หรือไม่ เราจะทุ่มเทกับมันได้หรือเปล่า หรือจะเลิกกลางทางหรือเปล่าเช่นกัน
ถ้าอย่างนั้นเราลองมองหาธุรกิจที่เราชอบ และพิจารณาว่าใครบ้างที่จะเป็นลูกค้าของเรา และปรับให้เข้ากับกลุ่มอื่นๆด้วย เพื่อขยายฐานลูกค้าจะดีหรือไม่
เมื่อครั้งที่ต้องเลือกสินค้ามาทำ เราพิจารณาถึงขนาดของตลาด ที่เรียกว่ากลุ่มลูกค้า เพื่อประมาณการยอดขายและค่าใช้จ่ายในด้านการตลาดที่จะลงทุนไปกับสินค้านั้นๆ
เมื่อเราทราบว่าใครเป็นลูกค้าก็จำเป็นจะทราบว่าคนเหล่านั้นอยู่ที่ไหนหรือมีพฤติกรรมการการใช้ชีวิตอย่างไร ปัจจัยอะไรที่จะมีผลต่อการตัดสินใจซื้อ และเราก็ต้องทำให้สินค้าเราไปปรากฏต่อสายตาของคนเหล่านั้น รวมไปถึงรูปแบบสื่อที่ใช้และอิมเมจของสินค้าอีกด้วย
หากเราไม่ใช่ผู้ผลิต เรามักมองหาธุรกิจแบบ"ซื้อมาขายไป" หรือ "เทรดดิ้ง" เราแค่เลือกสินค้ามาทำการตลาด ซึ่งหากเราเป็นผู้จำหน่ายเพียงรายเดียวในประเทศจะดีกว่า เพราะไม่ต้องต่อสู้ด้านราคากับใครในประเทศ หากเทียบกับต่างประเทศ ราคาเราจะแพงกว่าก็ไม่น่าเกลียด เพราะมีปัจจัยหลายด้านเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงนั้นๆหรือภาษีนำเข้า เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม สินค้าที่เราเลือกมาจำหน่ายในตลาดที่น่าเชื่อถือได้มักต้องได้รับการรับรองมาตรฐานสินค้าจากหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานที่ได้รับการรับรองอีกที
ตามที่เคยกล่าวไว้ในบทความต้นๆ ว่าการวางแผนทางการเงินเป็นเรื่องสำคัญมาก แต่อย่างไรก็ตาม เราที่เป็นเจ้าของธุรกิจอาจพิจารณาตามความเหมาะสม แต่ขอให้ได้เริ่มต้นก่อน เพราะแค่นั่งคิด วางแผน โดยไม่ได้ลงมือ เราจะไม่ได้เจอความเป็นจริง สิ่งนั้นๆก็จะไม่เกิดขึ้นอีกด้วย
หลายท่านที่ผ่านงานบริษัทใหญ่ๆมา อาจมีทฤษฎีหรือเทคนิคมากมายที่ได่เรียนรู้มาจากบริษัทนำมาปรับใช้
การลงมือปฏิบัติจริงนั้นอาจไม่เป็นอย่างที่คิด เคยมีนักธุรกิจท่านหนึ่งบอกไว้ว่า "มันต้องใช้เวลา 6 เดือนหรือ ๆ ปี กว่าจะเป็นเรื่องเป็นราว" เราอาจใจร้อน เพราะทำไปแล้วหายหมด ใส่ความพยายามไปแล้วหายเปล่า ซึ่งจำเป็นต้องกลับมามองที่ย่อหน้าแรก "ธุรกิจนั้นเป็นสิ่งที่เรารัก เราชอบจริงหรือเปล่า"
เราอาจเรียนรู้ประสบการณ์การบริหารจัดการธุรกิจจากผู้บริหารระดับโลกหลายท่าน ทั้งชาวไทย และต่างประเทศ ที่หาอ่านได้จากบทสัมภาษณ์ท่านเหล่านั้นออกมาเป็นหนังสือ สำหรับผู้เขียนแล้ว ประสบการณ์ของผู้ลงมือปฏิบัติจริงนั่นมีค่ามากมายนัก เป็นการลงทุนในตัวเอง เพิ่มความรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่น เป็น shortcut การลองผิดลองถูกในการทำธุรกิจของเรา และยังเป็นไอเดียที่เรานำมาปรับใช้ภายใต้ข้อจำกัดของธุรกิจเราเองได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ความรัก ความชอบ เป็นสิ่งจำเป็นอย่างแรง แต่ปัจจัยอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญกว่าในมุมมองของผ่านที่มีความรู้สึกรับผิดชอบทางการเงินของตัวเอง อาจจะทนอยู่ได้ยากเมื่อรายได้หายไปในเวลานานกว่าที่คิดไว้ ดังนั้น เริ่มต้น เราควรพิจรณาถึงเรื่องของความจำเป็นต้องใช้เงินของเราประจำแต่ละเดือน และเผื่อไว้จนกว่าจะมีรายได้ที่พอเพียงตามที่เราคาดหวังไว้ด้วย