ธุรกิจแย่ แก้ตรงไหนดี!!!
วันนี้มีโอกาสไปนั่งพิจารณาผลประกอบการขององค์กรหนึ่งมา อืมม์ รายได้ ไม่เพิ่มจากปีก่อนสักกี่บาทเลยนะ แต่เอ๊ะ! กำไร เค้าเพิ่มมาบานเลย เอิ่ม อยากเห็นรายละเอียดจัง
ใครๆก็บอกว่า "เศรษฐกิจแบบนี้..."
เราจึงกลับมานั่งพิจารณาผลงานตัวเองบ้าง เอ! ยอดขาย หรือรายได้ของกิจการเราเป็นไปตามเป้าหรือเปล่าน๊า แล้วมันโตจากปีที่แล้วมั้ย เอิ่ม! กำไรอยู่ไหนน๊า
เมื่อก่อนนี้เราเคยวิเคราะห์ผลงานตัวเองทุกๆสัปดาห์ นานๆไปก็ทุก 2 สัปดาห์ ผ่านมาก็เป็นเดือน ปัญหามันอยู่ตรงนี้แหละ พอเดือนหนึ่งเช็คทีหนึ่ง มันจึงแก้ไม่ทัน มารู้ตัวอีกทีก็ตกเป้าไปเสียแล้ว
เราเลยสัญญากับตัวเองว่า ต่อไปนี้เราจะไม่ยอมคลาดสายตาจากผลประกอบการรายสัปดาห์เลย เทียบกับปีที่แล้ว ที่ไม่ได้จดไว้ว่ามีอะไรทำให้ยอดขายดี แล้วปีนี้ผิดพลาดตรงไหน ยอดขายมันเลยตกลงไป ปัจจัยอะไรบ้างที่มันแตกต่าง และก็ยาวมาถึงเรื่องของกำไรด้วย อาจต้องขยันหน่อย หน่อยเดียวจริงๆเอาแบบทุก2สัปดาห์นะ แต่แบบละเอียด เช็คสต๊อกมาด้วยเลย
เคยเป็นมั้ย เวลามองกิจการใครเค้า เราวิจารณ์ได้เป็นเรื่องเป็นราว แต่พอมาเป็นกิจการของเราเอง หลายครั้งที่เราก็มองไม่เห็น บางทีก็ต้องแอบหยิบเอาตำราเก่าๆมาเปืดวิเคราะห์ดูเหมือนกัน
ในแง่ของการบริหารโดยรวม เราลืมมองอะไรไปหรือเปล่า อย่างที่กล่าวข้างต้น หลายครั้งที่เราปล่อยปะละเลยการผลักดันตัวเอง หรือผลักดันกิจการของเราไป เราทำงานแบบ SLOW LIFE เกินไปหรือเปล่า หรือเราทำงานละเอียดปลีกย่อยมากเกินจนมองภาพใหญ่ไม่เห็น เอ! ไอเดียเรามันหายไปไหนหมด ตอนนี้หากเราต้องการให้ท่านผู้เชี่ยวชาญสักท่านหนึ่งมาวิเคราะห์กิจการของเรา เค้าจะว่ายังไงบ้างน๊า (เคยคิดเหมือนกัน ไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดหมือนเรามั้ย เวลาที่เราต้องตัดสินใจทำอะไรอะไรสักอย่าง เราก็เล่นไปตามเกมส์กับข้อมูลเท่าที่หาได้ เราอยากรู้ว่าถ้าเป็นคนอื่นเค้าจะจัดการกับสถานการณ์แบบนี้ยังงัย เค้าจะเลือกแนวทางการจัดการแบบเดียวกับเราหรือเปล่า ถ้าเป็นคนที่มีประสบการณ์มายาวนาน เค้าจะเลือกทางไหน) นี่คงเป็นเหตุให้เรารักการอ่านประสบการณ์ของผู้บริหารระดับโลก แม้สถานการณ์จะไม่เหมือนกันซะทีเดียว แต่ก็เป็นแนวคิดให้เรานำมาปรับใช้กับสถานการณ์ของเราได้ ที่สำคัญ บางครั้งเวลาอ่านเจอสิ่งที่เค้าทำ เราก็คิดไปว่า “ทำแบบนี้ก็ได้ด้วยเหรอ”
วันนี้พอเห็นผลประกอบการของคนอื่น ก็พาลให้อยากเห็นเพิ่มอีก แต่คงไปขอดูจากใครเค้าไม่ได้ เลยได้แต่ไลน์ไปคุยประมาณว่า "เป็นไงบ้าง เศรษฐกิจช่วงนี้" แค่นี้แหละ เพื่อนเราก็พรั่งพรูผลงานของเค้ามาอย่างร้าวราน ในขณะที่เราที่เป็นผู้ฟังรู้สึกจะร้าวมากกว่า เพราะขนาดที่เค้าว่าของเค้าแย่ แต่มันก็ยังดีกว่าของเราไกลเลยทีเดียว เค้าบอกว่า "ยังห่างเป้าอีกเยอะ" "ผมคิดว่าต้องหาอะไรเสริม"
เค้าคงวิเคราะห์มาแล้วว่า กลุ่มสินค้าที่แอคทีฟอยู่ปัจจุบันนี้ ในสถานการณ์แบบนี้คงทำอะไรกับมันไม่ได้มาก เค้าเลยอยากจะเพิ่มกลุ่มสินค้าใหม่ขึ้นมาโดยคาดหวังว่าจะมากลบส่วนที่ติดลบ หรืออาจจะเป็นส่วนหลักในอนาคตก็เป็นไปได้
เพื่อนท่านนี้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะสินค้าที่เค้าทำ ซึ่งเค้าก็ทำได้ดีมาก แม้ใครๆจะบอกว่าสินค้าของเค้าเป็นตลาดแบบ Niche และยิ่งไปกว่านั้น เค้าทำตลาดในแบบที่เค้าสะดวกอีกด้วย ไม่ได้เก็บทุกช่องทางที่มี
เราเคยมีโอกาสสัมภาษณ์พนักงานหลายท่านที่ต้องการหางานใหม่ เพราะบริษัทที่ทำอยู่ไม่เสถียร บริษัทเล็ก พนักงานน้อย รายได้นิดเดียว และสินค้าก็กำลังจะตายจากตลาด เจ้าของไม่ยอมปรับ ทำให้เรามองไปถึงกิจการฟิล์ม และโทรศัพท์ และสุดท้ายก็มองกลับมาที่เราเอง เอ! แล้วเราล่ะปรับตัวกับตลาดแล้วหรือยัง เมื่อดูที่ตัวสินค้าหรือ Product เราได้ตั้งหน้าตั้งตาวิเคราะห์แล้วหรือเปล่าว่าสินค้าของเราไม่ได้อยู่ในสถานะกำลังจะตาย
สำหรับน้องอีกท่านหนึ่ง ก็เริ่มเปิดไลน์สินค้าใหม่ที่เค้าถนัด แม้จะชอบน้อยกว่าสินค้าที่ทำอยู่ปัจจุบัน แต่เป็นการเปิดอีกตลาดหนึ่งซึ่งเค้าได้เริ่มทำเล็กๆน้อยๆมาก่อนหน้านี้แล้ว กิจการเล็กๆของเจ้าของธุรกิจที่เริ่มจากเล็กๆใครจะรู้วันข้างหน้า “ธุรกิจเล็กไม่ใช่แค่เงินล้าน”
วันนี้ตัวเราเองที่ได้ฟังไอเดียของเพื่อนๆ บางท่านอาจจะมองว่า
“สินค้าของเราไม่เหมาะกับตลาดในปัจจุบัน เทรนมันตกแล้ว น่าจะเปลี่ยนมาทำสินค้าตัวใหม่” เราฟังและมอง (อยู่ในใจ) ว่า เราแน่ใจแล้วใช่มั้ยว่ามันจะตายแน่ๆ เราได้ทำมันดีที่สุดหรือยัง หรือเรามาปรับแก้แต่ก็ยังเป็นสินค้าตัวเดิม เพราะเราเดินจูงมือกับมันมาจนสนิทกันแล้ว หรือจะเรียกว่าเชี่ยวชาญแล้วนั่นแหละ หากจะกลับลำไปหาสิ่งอื่น เราต้องเริ่มต้นใหม่หมดมั้ย
เราอาจจะกลับมาพิจารณาสินค้าของเราอีกครั้งก่อนผลีผลามทำอะไรลงไป เช่น สินค้าของเราเหมาะสำหรับลูกค้ากลุ่มเล็กๆ มีเพียงไม่กี่หมืนคนเท่านั้นที่เสิร์ชหาสินค้าของเรา ตลาดมันเล็กเกินไปที่จะทำ (มันน่าจะคิดมาก่อนเริ่มทำธุรกิจนี้แล้วหรือเปล่า) เอ! หรือว่าเราจะมอง
มุมอื่นๆอีกว่า
-แล้วเราขยายไลน์สินค้าไปหากลุ่มอื่นได้มั้ย
-หรือตัวเลือกสำหรับสินค้าเรามีเพียงพอมั้ย ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้แค่ไหน
-ดูเพื่อนบ้าน หรือคู่แข่งในธุรกิจเดียวกันแล้วหรือยัง เค้าทำอะไรกันอยู่ หรือว่าเค้าเลิกลากันไปหมดแล้ว เค้าทิ้งธุรกิจนี้กันไปแล้วหรือเปล่า แล้วมันจะกลายเป็นโอกาสให้เราแทนได้มั้ย หรือว่า
-การตลาดของเราครอบคลุมกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเรามั้ย ใครบ้างที่อาจจะชอบของเรา แล้วเรายังไม่ไปหาอีกหรือเปล่า (แล้วจะมาเล่ากันในตอนต่อไป)
ยังมีเพื่อนๆบางท่านที่ได้แชร์ไอเดียในแง่มุมอื่นๆที่น่าสนใจมาอีก เราโชคดี ที่ผ่านมาเราได้มีโอกาสที่ดี ได้เจอนักธุรกิจที่หลากหลาย ทุกท่านมีความสามารถที่ต่างกันไป บางท่านกล่าวว่า
“สินค้าก็คือสินค้า อะไรก็เหมือนกัน สิ่งสำคัญมันอยู่ที่การบริหาร”
“การที่ได้อยู่กับสินค้าที่หลากหลาย เป็นประสบการณ์ที่แตกต่างกัน เพราะสินค้าแต่ละตัวจะมีแนวการทำงาน หรือการบริหารที่แตกต่างกัน เป็นการได้เรียนรู้และนำประสบการณ์จากสิ่งหนึ่งไปปรับใช้ได้กับสิ่งอื่น”
หลายท่านไม่ได้กล่าวอะไร มีเพียงผลงานที่สร้างขึ้นเองจากวิกฤตที่ผลักดันให้เค้าต้องทำ ทำแล้วก็ทำอีก และยังคงทำอยู่
วันนี้เราเริ่มวิเคราะห์กิจการของตัวเองจากแนวการบริหาร หรือการทำงานของตัวเรา และลามปามมาที่ตัวสินค้า และจะไปต่อกันที่บทความในอนาคตอีกทีเพราะยังมีอีกหลายปัจจัยที่ควรนำมาพิจารณาโดยมีเป้าหมายอยู่ที่ความสำเร็จ +++