เมื่อวานเป็นวันที่ผู้เขียนค้นพบความฉลาดทางดารตลาดในภาวะทีเรียกง่าเป็น opportunity และนั่นคือสิ่งที่มองหามานานตั้งแต่มีกระแสลวงตาออกมาสู่สังคมไทย
ตั้งแต่มีการห้ามให้ถุงช็อปปิ้งจากห้างร้าน ผู้เขียนประหยัดเงินในกระเป๋าได้มากขึ้นด้วยการซื้อของน้อยครั้งลง และซื้อ 1-2 ชิ้นเท่าที่จะไม่ทุเรศตัวเองเมื่อหอบของจนตกตามทาง เดินเข้าร้านสะดวกซื้อเพื่อทานขนมจุกจิกน้อยลง (ประคับประคองหุ่นจากการรังแกของปาก)
แม้ว่าบางครั้งจะมีถุงผ้าอยู่กับตัว ผู้เขียนก็ยังคงซื้อเท่าที่จำเป็นและคิดว่าคุ้ม อาจด้วยราคาประหยัดกว่า หรือได้แต้ม เพราะไม่มีความเชื่อเลยว่าการงดแจกถุงจะเป็นการช่วยลดโลกร้อนได้ตามโฆษณา เพราะพลาสติกที่ใช้ในร้านไม่ว่าจะเป็นขวด ถ้วย แก้วกาแฟล้วยแต่เป็นพลาสติกทั้งส้ิน ทำไมไม่เลือกใช้ถุงที่ย่อยสลายได้ตามที่เคยทำเมื่อก่อน และขอความร่วมมือกับผู้จำหน่ายที่ต้องใช้พลาสติกให้ใช้เป็นเกรดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ค่าใช้จ่ายเรื่องถุงช็อปปิ้งนอาจจะเป็นแค่หลัก 0.00xx% ต่อยอดขาย (ไม่มีตัวเลข) และครั้งหนึ่ง ถุงช็อปปิ้งเคยเป็นสื่อ (media) ที่ต้องใช้นักออกแบบ มาออกแบบถุงกันเลยทีเดียว ตอนนี้กลับกลายเป็นถุงช็อปปิ้งกลายเป็นสิ่งน่ารังเกียจ ซึ่งโดยส่วนตัวเราสามารถนำมันกลับมาใช้เป็นถุงขยะได้ และคงจะดีมากหากมันเป็นเกรดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างที่บางค่ายใช้ก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ดี โดยส่วนตัวผู้เขียนมองว่า บางค่ายมองเห็นโอกาสตอนนี้ที่จะต่างจากคู่แข่ง โดยการให้ถุง สำหรับผู้เขียนนั้นมองโมเดิร์นเทรดเมืองไทยมา 20 ปี ที่มียุครุ่งเรืองบ้าง ลุ่มๆดอนๆบ้าง เปลี่ยนเจ้าของมาหลายค่าย ล้มหายตายจากไปก็หลายค่าย วันนี้กำลังลดพนักงานที่เป็นข่าวก็มี สังคมเปลี่ยน เทรนเปลี่ยน การไปช็อปปิ้งที่น่าจะเป็นเรื่องสนุกสนาน (เทคนิคdrawคนเข้าห้าง) ไม่รู้ยังมีอยู่หรือเปล่า ตอนนี้ผู้เขียนเลิกช็อปจากห้างโดยสิ้นเชิง กลับมาสู่ตลาดนัด ซื้อของจากโชห่วย สนับสนุนชาวบ้าน ราคาอาจต่างกันเล็กน้อย แต่แยกของไม่ให้ปนกัน ทั้งกับข้าว ขนม และของใช้ได้ ยังไงก็ไฮยีนกว่า และจริงๆแล้วการแยกของลงถุงแบบนี้ก็เคยเป็นมาตรฐานการใช้ถุงให้ห้างมาก่อน ถุงขนาดต่างๆจึงมีงานของมันด้วย
อย่างไรก็ตามประสบการณ์ใหม่จากการเลิกโมเดิร์นเทรดของผู้เขียน ทำให้ได้พบโลกอีกฟากหนึ่ง และขณะที่กำลังจะย้ายตัวเองไปด้านนั้นก็มาพบ CVS เล็กๆอีกรายที่มองเห็นโอกาส และน่าสนใจไม่แพ้กัน