ช่วงนี้ยังไม่พ้นเทศกาลโควิดที่แวะเวียนเข้ามาเยี่ยมบ้านเมืองเราตั้งแต่ปี 19 มันจึงชื่อ โควิด19 หลายท่านคงจะเห็นไม่ต่างกันมากนัก ในเรื่องของเศรษฐกิจที่มีความเปลี่ยนแปลงแบบขาลง แต่ก็มีบางกิจการที่ขาขึ้นฟ้าไปเลยก็มี
หลายๆสิ่งรอบตัวเปลี่ยนแปลง ตามเวลาที่เปลี่ยนไป และเมื่อมีสิ่งมากระทบอย่างมีนัยยะสำคัญด้วยแล้ว จะทำให้เกิดการเปลี่ยนของสังคม ความเป็นอยู่
ย้อนไปสมัย เมื่อหลายสิบปีก่อน เรายังคงซื้อของกันจากตลาดเป็นหลัก ซึ่งในบางพื้นที่ก็จะมีห้างสรรพสินค้าขึ้นมา ที่เรียกว่า ดีพาร์ทเม้นสโตร์ แต่คนต่างจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดเล็กๆอย่างที่ผุู้เขียนเกิด และเติบโตที่นั่นก็ยังไม่มีห้างดังกล่าวให้เราคุ้นชิน ถึงทุกวันนี้ก็พอจะมีบ้างแล้ว
เมื่อราวๆยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา จำได้ว่า ตลาด หรือ การจับจ่ายใช้สอยของเราก็เริ่มจะมีแนวโน้มไปทางห้างฯมากขึ้น เพราะ ห้างฯนั้นเริ่มกระจายออกไปตามต่างจังหวัดมากขึ้น แต่นั่นก็เป็นห้างอีกรูปแบบหนึ่งที่เรียกว่าดิสเคานท์สโตร์ ซึ่งก็คือห้างที่มีหน้าตาแบบรวมทุกสิ่งอยู่ในชั้นเดียว แบ่งสินค้าเป็นประเภทตามล็อก แต่ก็เดินทั่วถึงกันในฟลอร์เดียว สมัยนั้นผู้เขียนที่ยังคงอยู่ต่างจังหวัดก็เริ่มโตแล้ว และมีโอกาสไปกินของแปลกๆจากห้างที่ว่านี้เหมือนกัน ที่เรียกว่าแปลก เพราะไม่ใช่ของกินแบบไทย และมาคิดได้เอาช่วงที่โตมาอีกหน่อย แและเริ่มเข้าสู่วงการแล้วนั่นแหละ จึงสนใจจะรู้ว่า ห้างพวกนี้พื้นเพมันอยู่ต่างประเทศ ไม่นานนักหลังจากนั้น เราก็พบว่า ห้างแนวๆนี้จะมีหลายแบรนด์มากขึ้น นับเป็นสีสันของตลาดในยุคนั้นเลยทีเดียว เพราะแต่ละแบรนด์ก็จะมาจากประเทศต่างๆ ที่มีแนวการทำงานที่ไม่เหมือนกันเลยทีเดียว และมีการจ้างงานมากขึ้น เพราะห้างแนวนี้จะขยันเปิดสาขา ที่มีนโยบายขยายสาขาให้มากขึ้นทุกปี นอกจากจะเพื่อเก็บกลุ่มผู้ซื้อให้ทั่วถึงแล้ว ยังจะสร้างอำนาจการต่อรองราคากับผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายสินค้าได้มากขึ้นอีกด้วย เป็นเหตุให้้างแนวนี้จะมีคอนเซ็ปต์การขายสินค้าราคาต่ำ และยังนำมาเป็นกลยุทธ์ในการดึงดูดลูกค้าอีกด้วย
การเกิดห้างแบบนี้ทำให้เกิดการจ้างงานที่มากและหลากหลาย มีตั้งแต่ชั้นปฏิบัติการ คือ รายได้ขั้นต่ำ ไปจนถึง แนวบริหารที่เป็นรายได้ขั้นสูง ซึ่งในสาขาหนึ่งๆจะใช้คนค่อนข้างเยอะ อาจจะมาจากการจ้างงานโดยห้างนั้นๆ หรือ จากผู้ขายสินค้าที่นั่นก็ได้
เมื่อราวสิบปีที่ผ่านมา ตลาดก็เริ่มมีการพัฒนาอีกครั้ง จะเรียกว่าพัฒนาหรือเปลี่ยนดีล่ะ เพราะเริ่มมีการค้าแนวออนไลน์เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในสังคมไทย หากจำไม่ผิด ส่วนตัวเราเองก็สนุกกับการซื้อของจากลาซาด้า ซึ่งยังคงยืนหยัดอยู่จนทุกวันนี้ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงในแง่ของเจ้าของกิจการหรืออะไรก็ตาม และ ก็ยังมีเว็ปไซต์แนวมาร์เก็ตเพลสเกิดขึ้นมาอีกหลายค่าย นอกจากนั้นก็จะมีเว็ปที่ขายสินค้าเฉพาะแบบ เช่น สินค้าเด็ก สินค้าแนวความสวยความงาม แนวแฟชั่น และอีกมาก ซึ่งผู้เขียนไม่ค่อยได้ใช้บริการนัก และก็ยังมีการปรับเปลี่ยนอีกหลายอย่างทำให้ บางเว็ปหายไป และบางเว็ป หรือ มาร์เก็ตเพลสก็กระโดดเข้าและขึ้นมาอีก แต่ล่าสุดที่ผู้เขียนมักจะใช้บริการก็ไม่มากกว่า ค่ายส้มกับค่ายฟ้า นั่นแหละ ซึ่งมีการแข่งขัน และมีการบริหารจัดการแบบกระชากใจผู้ซื้อได้เหมือนเมื่อครั้ง ห้างกลุ่มดิสเคานท์สโตร์ยังเรืองอำนาจ
หากมองว่าตอนนี้กลุ่มดิสเคานท์ยังมีมั้ย ทุกท่านก็คงจะยังเห็นอยู่ แต่มีการปรับเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่เมื่อโควิดมาเยือน ประกอบกับนโยบายไม่ให้ถุง ไม่ทราบว่าจะมีผลกับการซื้อจำนวนมากหรือไม่ เพราะผู้เขียนออกจากวงการมานานแล้ว และหันมาโฟกัสกับตลาดออนไลน์แทน จึงได้แต่มองความเปลี่ยนแปลง เช่น ค่ายนี้เปลี่ยนเจ้าของแล้ว หรือ มีการลดขนาด ปรับกลยุทธ์เพื่อการอยู่รอด วันนี้ไม่ได้ลงรายละเอียด เพราะไม่ได้อัพเดทข้อมูลมานานก็ไม่อยากนำข้อมูลที่ไม่แน่นอนมาเล่า แต่เมื่อสิบปีก่อนนั้น เมื่อออนไลน์ยังไม่ผงาดอย่างวันนี้ กลุ่มการค้าขายที่เราแบ่งง่ายๆว่า แบบตลาด หรือ ร้านค้า กับกลุ่มห้าง ที่รวมทั้งแบบดีฟาร์ทและแบบดิสเคานท์นั้น จะมีอัตราส่วนการค้าที่ต่างกันอย่างชัดเจน ประมาณ3-4 เท่าแล้ว
สมัยนั้นการขายออนไลน์ยังไม่แพร่หลาย มีการเริ่มวางจำหน่ายบ้างแล้ว แต่ไม่มีตัวเลขพอที่จะนำมาคำนวณนัก แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ตลาดร้านสะดวกซื้อ ที่เป็นที่รู้จักกันอย่างดีว่า ของค่ายไหน หรือแบรนด์ไหนที่อยู่ยงคงกระพัน ไม่เพียงแบ็คของค่ายนั้นที่ดูเหมือนจะกระจายไปทั่วทุกประเภทการค้า แต่ยังเป็นเรื่องของความสามารถในการบริหารจัดการให้น่าสนใจ ทันสมัย และแปลกใหม่ น่าติดตามเสมอ และที่สำคัญมีการปรับตัวภายใต้ข้อจำกัด เช่น การงดให้ถุง ทำให้การซื้อของหลายๆคนจะงดไปเลยในช่วงแรกๆ แต่สุดท้ายความน่าสนใจที่กล่าวมาข้างต้นก็ทำให้คนกลับไปซื้อ แม้จะไม่มากเหมือนเดิม เพราะเกินมือถือ (คิดว่าหลายคนอาจจะเหมือนผู้เขียน ที่ซื้อเท่าที่ถือได้ เพราะจากร้านสะดวกซื้อ ก็สร้างความไม่สะดวกมาซะอย่างนั้น หากจะลดโลกร้อน ก็ทำถุงย่อยสลายหรือถุงกระดาษออกมาใช้แทน ก็ทำได้ แต่การไม่ให้ถุงมันทำให้ไม่่สะดวก และหากจะลดโลกร้อน ลดพลาสติกจริง ทุกสิ่งอย่างในร้านก็ไม่ควรจะใช้พลาสติก คนอื่นคิดอย่างไรไม่รู้ แต่โดยส่นตัวเข้าใจ ว่า เป็นการลดค่าใช้จ่ายที่่ตั้งชื่อว่าค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยลง โดยที่จะประหยัดไปเป็นแสนต่อสาขาต่อเดือนเลยทีเดียว สำหรับสาขาที่ขายดี **หากข้อมูลผิดพลาดต้องขออภัยด้วย ผู้เขียนอ้างอิงจากข้อมูลเก่าในความจำ แต่นั่นก็ทำให้ตัวเองนั้น ซื้อเท่าที่ถือได้ ) แต่ร้านสะดวกซื้อนี้ ก็เริ่มทำคอนเซ็ปต์ร้านใหม่ ให้มีที่จอดรถ เพราะเมื่อลูกค้าซื้อของเยอะก็จะได้นำไปใส่รถเลย แต่ก็นั่นแหละ อยู่หอ อยู่คอนโด จะต้องมีถุงสำรองไว้ในรถ ไม่งั้นก็เดินถือ อย่างที่เคยเห็นบางคนทำ บางทีก็ตกพื้นขณะที่เดิน ดูไม่ค่อยดีนัก แต่ช่วงหลัง การมีบริหารส่งของเมื่อซื้อ 100 บาท ก็ช่วยได้เยอะ นอกจากจะช่วยคนซื้อให้ไม่ต้องมีสภาพแบบนั้นแล้ว ยังช่วยเพิ่มมูลค่าการซื้อต่อบิลด้วย เพราะดูจากการเล่นโปรสะสมแสตมป์ แสดงว่ามูลค่าต่อบิลน่าจะไม่เกิน 40-50 บาท ดังนั้นการให้แสตมป์ ก็จะดึงบิลให้ถึง 40-50 บาทได้ แต่นั่นก็ยังไม่มากพอกับ การให้บริการส่งถึงบ้านที่ 100 บาท ต่อออเดอร์ ที่โดยปกติจะมาส่งไม่ช้านัก แต่บางครั้งก็ยังมี 3-4 ชั่วโมง เท่าที่เคยเจอ ซึ่งน่าจะเกิดจาก ลืม หรือ ออเดอร์เยอะเกิน เพราะ ระบบจะส่งออเดอร์ไปสาขาใกล้ๆ หากสาขานั้นอยู่ในชุมชนที่ไม่มีสาขาอื่นมาแบ่งก็จะทำให้เป็นปัญหา แต่ค่ายนี้ก็มีทางออกอีก คือ มีตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติมาวางไว้บริการในจุดที่มีความต้องการมากกว่าจำนวนสาขา เช่น ในโรงพยาบาล ที่ทำการไปรษณีย์ และ คอนโด
ผู้เขียนเคยเจอพนักงานที่กำลังมาเติมของในตู้ เค้าบอกว่า ตู้นี้ขายดี เมื่อคืนเติมไป 2 รอบ และเช้าๆแบบนี้ก็มาเติมอีก จะเห็นว่า ความสะดวกจะนำรายได้มาสู่กิจการ เพราะแม้ว่าตู้จะไม่อุ่นร้อน ไม่มีน้ำจิ้ม สินค้้าไม่มีให้เลือกมาก แต่ก็ยังจะขายดี เพราะ มันใกล้ที่พัก ชำระเงินด้วยพร้อมเพย์ หรือสแกนQR ต่างจากตู้อื่นๆที่ต้องใช้แต่เงินสด เพราะสมัยนี้ตู้กดเงินก็น้อยลง แถมเงินในบัญชีก็มีน้อยลง การใช้ชีวิตกับตู้แบบนี้จึงตอบโจทย์ขึ้นทุกที
ที่สำคัญการขายออนไลน์ก็ไม่เป็นคู่แข่งของกิจการสะดวกซื้อ เพราะสินค้าจะคนละกลุ่ม โดยเฉพาะอาหาร ที่หิวตอนนี้ ต้องกินตอนนี้ รอออนไลน์ไม่ไหว และรอไรเดอร์ก็ไม่ไหว จะกินตอนไหนก็เอาที่สบายใจ
สำหรับสินค้าอื่นที่รอได้ การซื้อผ่านออนไลน์นับว่าสะดวกสุดในยุค สะดวกทั้งการกดสั่ง การชำระเงิน และยังสะดวกในแง่มีทุกสิ่ง หาอะไรก็เจอ เช่น หากเราต้องการซื้อลูกเต๋ามาทอยเล่น เราจะคิดว่าซื้อจากที่ไหน เราก็ไปที่นั่น ได้ทันทีเดี๋ยวนั้น แต่ข้อจำกัดคือ ไม่มีให้เลือก เค้าขายยังไงก็ต้องเอาอย่างนั้น ในขณะที่ออนไลน์นั้น สารพัดแบบ และราคายังหลากหลายไปจนถึงถูกมาก มากจนสั่งจากจีนเองก็ไม่ได้ราคานี้ แต่ไม่ใช่มันจะราบรื่นไปเสียทุกอย่าง เพราะมันมีข้อจำกัดในแง่ของแพลตฟอร์มที่ให้มีเฉพาะที่นั่น ขนส่งก็ต้องรายนั้น อาจเป็นการสร้างอุปสรรคโดยผู้ขายควบคุมไม่ได้
วันนี้แค่ไปซื้อของในห้าง แล้วรู้สึกขัดใจก็เลยมีเรื่องมาเล่าซะยาวขนาดนี้...