เราเข้ามาอยู่ กทม. ตั้งแต่เรียนจบ ป.ตรี เรียนมหาวิทยาลัยต่างจังหวัด เมื่อเข้ามาทำงาน ก็เริ่มจากอยู่หอพักใกล้ที่ทำงาน ตอนนั้น ใช้ชีวิตแบบประหยัดสุดๆ เงินเดือนเหลือทุกเดือน เช่าห้องสองพันกว่าบาท รถไม่มี เดินไปทำงานเอา เพราะชอบตื่นแต่เช้าอยู่แล้ว ห้องพักก็ไม่มีแอร์นะ ไม่รู้สึกลำบากเลย อาจเป็นเพราะพื้นเพเป็นคนบ้านนอก อยู่กับอากาศปกติ จึงไม่รู้สึกอะไร แต่ที่รู้สึกว่าดี คือ ประหยัด เมื่อเห็นเพื่อนที่เช่าห้องแอร์ต้องจ่ายค่าไฟเดือนละ 900 บ้าง พันกว่าบ้าง เอาเป็นว่าตังค์เหลือให้คนยืม 555
พอโตขึ้นมา เงินเดือนเยอะขึ้น ก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม คล้ายจะรวยนะ แต่เปล่าเลย เพราะนิสัยชอบลงทุน มันคือความสุขอย่างหนึ่ง หรือจะเรียกว่างานอดิเรกก็คงได้ แต่เราขยับขยายมาซื้อรถยนต์แล้ว เพราะทำงานไกลจากที่พัก
ก่อนช่วงน้ำท่วมใหญ่ เราได้เช่าทาวน์เฮ้าส์ไว้ เพราะราคาถูกกว่าห้องเช่าในเขตเมือง แต่พอเจอประสบการณ์น้ำท่วมที่คาดไม่ถึง ทำเอาเราไปไม่เป็น น้ำขึ้นบันไดถึงบริเวณหักมุมขึ้นชั้น2 ตอนนั้นตู้โชว์ ตู้เก็บสต๊อกสินค้าไม่มีเหลือ กลายสภาพเป็นกระดาษไป ข้าวของเสียหาย หนังสือเล่มโปรดที่เอาไว้อ่านในห้องน้ำก็สลายไปด้วย
ตอนนั้นทำงานในเมือง พอไหวตัวทันบ้าง ลางานครึ่งวัน กลับมายกข้าวของ เก็บเสื้อผ้าออกมา แบบพอใช้สักอาทิตย์หนึ่ง แล้วก็รีบออกจากที่นั่น ปรากฏว่าที่ไหนได้ น้ำท่วมเป็นเดือน พยายามลุยน้ำจะกลับเข้าไปดูบ้าน ยิ่งเดินก็ยิ่งลึก พอถึงอก ก็เลยยอมแพ้ ยิ่งมีข่าวไฟดูดด้วย เลยหารถเมล์กลับเข้าเมือง
ไม่ใช่เราคนเดียวที่ลำบาก โชคดีที่เรามีงานทำ ข้าวของซื้อใหม่ได้ ทั้งบ้านชั้นล่าง เหลือเพียงโต๊ะกินข้าวที่ทำจากไม้จริง
หลังน้ำท่วม สมองมันเกิดการเรียนรู้ว่า หากเราขนของขึ้นที่สูงทั้งหมดได้ ทุกอย่างก็จะปลอดภัย เราจึงเริ่มมองหาที่อยู่ชั้นสูงๆเหมือนเดิม
โดยนิสัยที่ไม่ชอบยุ่งกับใคร เรามักจะเบือกชั้นบนสุด และห้องสุดท้ายเสมอ ตอนนั้นเพื่อนที๋ซื้อโครงการเอื้ออาทรไว้ ตัวเองทำงานระยอง ข้าวของมันปลอดภัย แถมผ่อนเบาๆ ได้ที่อยู่แบบสบายไปเลย แต่เสียอย่างเดียว โครงการของเค้าสมัยนั้นโจรเยอะ ไม่มีเพื่อนบ้าน กลับมาจากต่างจังหวัดที ต้องซื้อมิเตอร์น้ำใหม่ที 555
ตอนนั้นตามหาบ้านเอื้ออาทรบ้าง เอาโครงการโปร่งๆ สบายๆ คนไม่พลุกพล่าน แถวชานเมืองหน่อย มาเลือกโลเคชั่นได้แล้ว ก็ไปติดต่อการเคหะ เพื่อขอซื้อ สมัยเริ่มต้นเค้าให้สิทธิ์เฉพาะคนเงินเดือนไม่เกิน 15,000 บาท เราก็ไม่ได้สิทธิ์ แต่ครั้งนี้ไปติดต่อ เงื่อนไขเปลี่ยนไปแล้ว เราจึงซื้อได้
คิดเอาเองนะ เงินเดือนหมื่นห้า ค่าผ่อน ค่าน้ำไฟ ค่ารถ ค่าใชเจ่ายส่วนตัว คนทั่วไปไม่น่าจะอยู่ได้ ซึ่งก็คงจะจริง เพราะห้องที่เราดลือกมาก็เป็นห้องที่เจ้าของเก่าไม่ผ่อน ที่นั่นมีฟ้องแบบนี้มากมายให้เลือก แต่เรามันเรื่องมาก ขอห้องที่ใหญ่หน่อย ชั้นบนสุด ห้องสุดท้าย และก็ได้มาสมใจ
ห้องที่ถูกทิ้งไว้ ต้องปรับผนัง พื้นที่กระเบื้องแตก ผนังห้องน้ำก็ทำใหม่ มุ้งลวด และกระจกบานเกล็ดอีก กระจกนี่สำคัญ ห้องที้ไม่มีคนอยู่ มิจฉาชีพจะถอดไปขาย แต่เราโชคดีหน่อย ตึกที่เราได้ มีเพื่อนบ้าน เลยไม่มีโจร เค้าอยู่กันเป็นครอบครัว แต่เราอยู่คนเดียว มีห้องนอนใส่เตียง 6ฟุต ห้องโถง ที่เป็นห้องทำงาน และกั้นเป็นห้องพระ ส่วนด้านนอกใครจะทำเป็นระเบียงก็ได้ ส่วนของเราติดเหล็กดัด มุ้งลวด และบริเวณนี้จะเป็นส่วนของห้องน้ำ และมีพื้นที่สำหรับทำครัว และซักล้าง สำหรับเรา ถือว่าสบาย ไม่ติดแอร์ด้วย ที่นี่สร้างแบบไม่ขี้เหนียวเหมือนเอกชน คือ ระหว่างชั้นจะสูง คือ เพดานห้องสูง อากาศเลยถ่ายเท ในตึกก็มีทางระบายให้ลมผ่าน
สมัยไปอยู่ใหม่ๆ ออกมาหน้าห้อง แล้วมองออกไปจะเจอป่าละเมาะ แค่ตอนนี้ไม่มีแล้ว
จากเงินเดือนหลักหมื่นมาเป็นหลักแสน เราก็ยังคงอยู่ที่นั่น แม้เพื่อนจะบอกว่าสิ่งแวดล้อมมันไม่ดี แบรนด์มันดูไม่ดี แต่เราเป็นคนบ้านนอก เรื่องแบบนี้ไม่ค่อยรู้สึกอะไร ส่วนการเดินขึ้นชั้น 5 ก็ถือว่าออกกำลังกาย เพราะขนาดคุณป้าห้องข้างๆยังเดินได้ ทำไมเราจะเดินไม่ได้ ที่ชั้นเรามีคนเกษียณมาอยู่ 2 ห้องเลยทีเดียว
แต่อยู่มาวันหนึ่ง เรารู้สึกไม่ถูกใจพนักงานนิติบุคคลอยู่คนหนึ่ง สมัยนั้น เอื้ออาทรยังบริหารเอง แต่ตอนนี้ใช้บริษัทเอกชนมาบริหาร เรียกว่าดีเกินมาตรฐาน เพราะมีหลุ่มไลน์ให้ลูกบ้านแจ้งปัญหา ช่วยกันสอดส่องดูแล รปภ. ตรวจงานก็มีรายงาน มีการจัดกิจกรรมเสมอ ที่ชอบคือ มีอัพเดทข่าวสารที่คนไม่ชอบยุ่งกับคนอื่นยังแอบได้รู้ข่าวกับเค้าบ้าง
แต่ความดีมันก็มาหลังจากที่เราย้ายออกไปแล้ว เพราะหละงจากที่หงุดหงิดกับพนักงานหยาบคายคนนั้น (ที่สุดทเายก็ต้องลาออกไป) ดราก็ไปซื้อคอนโดใหม่อีก คร่วนี้เป็นชั้รบนสุดเหมือนเดิม แต่ไม่ใช่ห้องสุดท้าย เพราะเอกชนซอยห้องเล็ก เพดานก็ต่ำ ความสบายอย่างเคยก็หายไป และเจ้าหน้าที่นิติก็คือคน ที่ทำงานได้แค่ระดับหนึ่ง ดีกว่านิติรุ่นเก่าของเอื้ออาทร แต่ได้แค่ 20%ของรุ่นใหม่
เล่ามาซะยาว ชีวิตเราก็แค่ต้องการปัจจัย4 บางครั้งความยากลำบากก็วิ่งเข้ามาหา เราจึงต้องปล่อยบ้านเอื้ออาทรที่เก็บไว้ไม่ได้อยู่มา 8ปี ออก ในราคาไม่มีกำไร แม้ว่าอีกสักพักหนึ่งราคาก็น่าจะดีขึ้น ในขณะที่ราคาที่ดินสูงขึ้น (วันที่เปิดขายมือ1 ถูกกว่าวันที่เราซื้อมือ2) แต่เราก็ข่ยตามตเนทุนจริงไม่ได้ในตอนนี้ (ราคาที่ซื้อมา+ค่ารีโนเวท+อื่นๆ)
ใครชอบชีวิตสันโดดพอเพียงแบบเราก็ทักมานะคะ 089 0499724 เก๋ค่ะ