ฉันเป็นคนที่เชื่อว่าตัวเองโชคดี ที่เคยได้มีโอกาสในช่วงที่การค้าปลีกเจริญรุ่งเรือง จนวันนี้ได้ฟังข่าวว่า Big C สาขาศรีนครินทร์จะปิดให้บริการในวันที่ 31 สิงหาคม นี้ ดิฉันคิดว่า สาขานี้น่าจะเป็นห้างคาร์ฟูร์เก่าที่เป็นสาขาแรกที่ฉันได้เริ่มเข้าไปฝึกงาน เพราะออฟฟิศอยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆกัน และหอพักก็อยู่ไม่ไกลกันนัก ตอนเย็นเวลาเลิกงานก็จะเดินมาสาขานี้ เพืื่อซื้ออาหารกลับบ้าน
สมัยที่ยังเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนั้นห้างแมคโครกำลังดัง สิ่งที่ฉันชอบเป็นพิเศษไม่ใช่ระบบการค้าที่ทันสมัย แต่กลับเป็นขนมครัวซองค์
ใครจะรู้ว่าเมื่อเรียนจบ ฉันจะได้เข้าทำงานในระบบค้าปลีก โดยเริ่มจากการเป็นจัดซื้อ แล้วก็มาเป็น Operation จนออกไปทำงานบริษัทที่ต้องกลายมาเป็นซัพพลายเออร์ให้กับกลุ่มค้าปลีกอีกที
สมัยนั้นการแข่งขันรุนแรงมาก ฉันต้องไปแวะแม็คโครที่อยู่ติดกับคาร์ฟูร์เพื่อเช็คราคาสินค้าที่ฉันดูแลอยู่เพื่อประเมินราคาซื้อเพื่อจะนำมาต่อรองกับซัพพลายเออร์ รวมทั้งดูสินค้าใหม่ๆ กับกลยุทธ์การตลาดของเขา สมัยนั้นที่จัดซื้อเราไม่มีแผนกการตลาด พวกเราทำกันเองแทบทั้งสิ้น กำหนดสเปคสินค้าเอง ตรวจสอบคุณภาพ แม้แต่งาน HR
ตอนนั้นเรามีดีลราคาพิเศษทำโปรโมชั่นกันหลากหลายรูปแบบ เรามอนิเตอร์งานกันตลอด ชีวิตค้าปลีก ฉันยอมรับว่าฉันไม่ปิดโทรศัพท์นอกเวลางาน ยกเว้นแต่พักร้อนที่นายบอกว่า ไม่ให้ใครติดต่อมารบกวน พนักงานตายไปคนหนึ่ง บริษัทก็อยู่ได้ ฉันขอบความคิดแบบนี้มาก แต่กับคนไทยมันใช้ไม่ค่อยได้ เพราะยังไงทีมงานก็โทรมาอยู่ดีเวลามีปัญหา
ฉันอาจจะเป็นคนที่ทุ่มเท จริงจัง ไปคนเดียว แต่นั่นเป็นนิสัย ที่ทำอะไรก็จะจริงจัง และโชคดีที่ culture ที่นั่น มันเป็นแบบนั้น มีการแข่งขันกันทำงาน มัรจึงฟอร์มความคิดของฉันมาจนวันนี้
ฉันได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการทำงานห้างฯ ทั้งงในส่วนงานจัดซื้อ และสโตร์ ฉันโชคดีที่มีนายที่สอนงานอย่างเป็นระบบ ทำงานอย่างเป็นระเบียบ ฉันไปถึงที่ทำงานราวๆ 7 โมงกว่าๆ เลิกงานก็ทุ่มไปแล้ว แต่ฉันก็มีแรงไปทำงานได้ทุกวัน ตอนนั้นรู้แต่งานมันไม่หมดซักที มันยังเหลืออะไรให้ทำอีกเยอะ ฉันจึงรู้สึกมีชีวิตชีวามาก ตอนนั้นโสด อยู่คนเดียว เวลาป่วย เจ้านาย เพื่อนร่วมงานก็เหมือนกับเป็นครอบครัว ไม่แปลกเลย ฉันจึงรู้สึกใจหายเมื่อระบบนี้ค่อยๆล่มสลายไป