ทำกิจการอะไรดี ทำรูปแบบไหนดี จะทำจริงจังหรือไม่ เราพร้อมแค่ไหนกับการสร้างกิจการส่วนตัวเหมือนอย่างบริษัทที่เราเคยทำมา ...แชร์ประสบการณ์การเปิดบริษัท ...คุณพร้อมแล้วหรือ?
ทราบข่าวว่าอัตราการว่างงานช่วงนี้สูงมาก ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรก็ตาม หากไม่อิงสถิติ หรือตัวเลข สำหรับผู้เขียนเองนั้นที่เป็นคนต่างจังหวัด แต่ไม่ชินกับชีวิตต่างจังหวัดมากนัก บางมุมมองอาจขัดแย้งกับหลายๆคน ผู้เขียนมองว่า การจ้างงานอาจนับแค่งานในระบบ แต่จริงๆแล้ว งานนอกระบบยังมีอีกเยอะ บางท้องที่ หากขยัน และอีโก้ต่ำ อาจหารายได้เลี้ยงชีพตัวเองได้ แต่นั่นหมายความว่า คุณต้องไม่ได้มีหนี้สินมากมายนะ
ครั้งหนึ่งผู้เขียนรู้สึกเบื่องานประจำอย่างแรง จนกระทั่งไม่คิดจะสมัครงานในระบบอีก หลังจากที่พักผ่อนมาได้ครึ่งปี แบบเบื่อๆอยากๆ จนกระทั่งคิดได้ว่า หากเรามีค่าครองชีพเหมือนเดิมกับตอนที่มีเงินเดือน เราคงจะอยู่ไม่ได้แน่ๆ
ตอนนั้น ,,,ผู้เขียนผู้ที่เป็นคนระแวดระวังกับชีวิตทุกฝีก้าวก็ระลึกขึ้นมาได้ว่า "ก่อนที่เงินเก็บของเราจะหมดนั้น เราพยามยามคิดว่าจะทำอะไรดี จึงจะมีเงินมาต่อชีวิตเราออกไปได้หรือหาอาชีพที่เป็นของเราเอง โดยไม่ต้องกลับไปเป็นลูกจ้างอีก" ตอนนั้น เพื่อนๆบางคนของเราก็เริ่มกิจการของตัวเองกันแล้ว บางคนก็ไปได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ มันยิ่งกดดันตัวเราเข้าไปใหญ่ แต่ที่แน่ๆ ผู้เขียนได้มองเห็นว่า หากเพื่อนเราทำได้ เราก็ต้องทำได้เช่นกัน แม้ว่าเราจะไม่รู้ตื้นลึก หนาบางของงานเค้าเลย
ตอนนั้นคิดเยอะมาก เรียกว่าคิดทุกแง่มุมของชีวิต และให้เพื่อนช่วยมองในมุมที่เราเองก็มองไม่เห็น บางครั้งรู้สึกว่าการวางแผนก็จำเป็นต้องมอนิเตอร์แผนของเราอยู่ตลอดเวลาด้วย เพราะหากเราไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆแล้ว เราอาจไม่สามารถประคองแผนงานให้บรรลุได้ หรือแม้แต่บางครั้งเราอาจได้เจอโจทย์ใหม่ ที่ประสบการณ์สิบหรือยี่สิบปีไม่สามารถนำมาปรับใช้ได้
และด้วยความที่แผนของเรายังดีไม่พอ และนอกจากจะใจร้อนแล้ว เราก็ยังบ้าบิ่นอีกด้วย แต่ก็ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่แอบกลัวอยู่ลึกๆ เราจึงตัดสินใจเลือกสินค้าที่เราชอบหรือคิดว่าชอบ แล้วก็หาทางขาย โดยเริ่มจากการหาตลาดที่ลงทุนน้อยที่สุด และด้วยความที่พอจะมีประสบการณ์มาจากงานบริษัทบ้างเราจึงพอจะรู้ว่า เราจะหาลูกค้าได้จากตรงไหน
เราคิดว่าการขายของผ่านเว็บไซต์เป็นอะไรที่ลงทุนน้อยที่สุด คือไม่ต้องจ่ายค่าเช่าพื้นทื่ และเราก็เลือกเอาเว็บที่ให้เราใช้บริการได้ฟรีเท่านั้น นอกจากนั้นเพื่อนๆก็แนะนำว่า ให้ลงประกาศขายของในเว็บต่างๆที่เค้าให้ใช้ฟรี ซึ่งเราก็ลองไปแล้วหลายรูปแบบ
เริ่มต้นเลยเราสมัครเป็นสมาชิกของเว็บไซต์แห่งหนึ่งที่เป็นแหล่งขายของ เว็บนี้ค่อนข้างสากลเลยทีเดียว ตอนสมัคร เขาต้องการให้เราเป็นผู้ประกอบการที่มีสังกัด คือมีบริษัท และตอนนั้นเราก็ใช้บริษัทของเพื่อนทำการลงทะเบียนสมาชิกไปก่อน
เราโพสต์รูปสินค้าไปได้พักหนึ่ง ก็เริ่มคนติดต่อมา ตอนนั้นเราดีใจมาก เพราะมีคนสนใจสินค้าเรา แม้ว่าบางคนจะให้เราผลิตตามที่เค้าต้องการก็เถอะ
ตอนที่เริ่มทำใหม่ๆ เราก็มองจากมุมของเราว่าคนที่จะติดต่อมาหาเรา ก็ต้องเพื่อซื้อสินค้า หรือสนใจสินค้าของเรา แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว มันไม่ใช่เลย มันมีมาหลายรูปแบบมาก ซึ่งพออ่านเมลล์ดู ก็เห็นว่ามีทั้งพวกฟอกเงินบ้าง และบางพวกก็ส่งข้อความเหมือนๆกันมา ซึ่งพวกนี้เราจะไม่สนใจตอบเมลล์เลย
ทีนี้มีบางรายที่ดูเป็นจริงเป็นจัง เราก็เริ่มหาข้อมูล ตอนนั้นรู้สึกเหมือนตอนทำงานบริษัทเลย เพราะตอนเช้าก็ต้องมานั่งเช็คเมลล์ลูกค้า แล้วก็ต้องตอบเมลล์ บางรายก็ติดต่อกันเป็นจริงเป็นจัง ถามตอบกันไปเป็นนานสองนาน แล้วก็ต้องหาข้อมูล หาผู้ผลิต ทำราคา ส่งใบเสนอราคาตามเงื่อนไขที่ลูกค้าและเราตกลงกันแล้ว และทุกอย่างอีกจิปาถะ เพราะคราวนี้เราทำงานคนเดียว เรียกว่าเป็นหลักอยู่คนเดียว
ตอนแรกๆนั้น ผู้ที่ติดต่อมาเป็นชาวต่างชาติที่ต้องการซื้อเป็นล๊อตใหญ่ๆ ตอนนั้นเราถึงกับต้องไปเรียนเรื่องเอกสารส่งออก และขั้นตอนการส่งออกเลยทีเดียว เพราะตอนที่ทำงานที่บริษัท เราไม่ได้ทำหน้าที่นี้ และอีกอย่างหนึ่ง เราไม่เคยชอบงานเอกสารมาก่อนเลยในชีวิต แต่ก็ต้องทำเพราะถ้าทำผิดพลาดไป มันเสียมากกว่าได้
ตอนนั้นเราก็สำนึกว่าสมัยเป็นพนักงานขาย เราก็แค่ขายให้ได้ และของมันก็จะมากองอยู่ตรงหน้า ไม่เห็นต้องลำบากมานั่งทำโน่นทำนี่ รวมถึงคิดต้นทุนอีกสารพัด เรียกว่านอกจากต้องทำโน่นทำนี่แล้ว เรายังรู้สึกใส่ใจกับทุกขั้นตอนมากกว่าที่เคยเป็น ตั้งแต่การไปไปซื้อวัตถุดิบเอง ไปตามหาผู้ผลิตที่ต้องมีฝีมือและราคาดี
อย่างที่บอกนั่นแหละ ลูกค้าคนแรกของเราเป็นต่างชาติ และเค้าซื้อเยอะ ตอนนั้นเราคิดแต่ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง ก่อนหรือหลังยังไง ก็ไม่ได้คิดอะไร แต่เพื่อนที่ไปขอแรงมาช่วยก็มานั่งคำนวณเงินที่ต้องใช้ ก็ปรากฏว่ามันเป็นล้านเลย เพื่อนก็เลยถามเราว่า
“แกรู้หรือเปล่าว่าออเดอร์นี้มันมีมูลค่าเท่าไร แล้วแน่ใจเหรอว่าเค้าจะเอาจริง เงินตั้งเยอะนะ มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ”
ตอนนั้นเราก็ไม่ได้คิดว่า มูลค่าสินค้าที่คุยกับลูกค้าไว้มันเยอะขนาดเป็นสิบล้าน คงเพราะความตื่นเต้นที่จะได้ขาย เราก็มองแค่ว่าสินค้ามันแค่สามอย่างเอง โดยลืมคำนวณจำนวนและราคาต่อชิ้น และสิ่งที่ลืมไปมากกว่านั้นก็คือ
“จะเอาตังค์ที่ไหนไปลงทุนวัตถุดิบ” เพราะเราเป็นลูกค้ารายใหม่ ไม่มีใครเขาให้เครดิตอยู่แล้ว
เราก็เริ่มจะวิตกกังวลอยู่เหมือนกัน แต่ก็คิดว่า ยังไงเราก็ให้ลูกค้าโอนค่ามัดจำมาก่อนอยู่แล้ว และสำหรับลูกค้าใหม่ ยังไงก็ต้องมัดจำไม่ต่ำกว่า 50% ซึ่งก็พอจะจ่ายค่าของได้อยู่บ้าง เราจึงดำเนินการต่อไป
ทีนี้พอคิดว่าลูกค้าจะโอนเงินเข้ามา เราก็เริมจะคิดมาก เพราะเงินมันเยอะ และจะโอนเข้าบัญชีใครล่ะ ถ้าไม่ใช่บัญชีของเพื่อน ก็บริษัทนี้มันเป็นของเพื่อนเรานี่นะ ตอนนั้นเราก็เชื่อใจเพื่อน แต่อีกใจหนึ่งก็นึกถึงคำที่หลายๆคนเตือนเอาไว้ว่า
“เพื่อนมันจะเลิกเป็นเพื่อนกันก็เพราะเรื่องเงินเรื่องผลประโยชน์นี่แหละ”
และด้วยเหตุผลนี้ ทำให้เราต้องรีบจดทะเบียนบริษัทของเราก่อน ตอนนั้นคิดง่ายๆวา เอาชื่อให้คล้ายๆกับของเพื่อนเรานี่แหละ เพราะลูกค้าจะได้มองว่าเป็นบริษัทในเครือกันได้
เริ่มต้นเราก็ไปหาข้อมูลว่าการเปิดบริษัทนั้น เค้าต้องทำอย่างไรกันบ้าง หลายคนแนะนำให้ใช้บริการบริษัทรับจดทะเบียน แต่บางคนก็บอกว่า ทำเองก็ได้ ง่ายจัง ตังค์ก็ไม่เปลือง เราจึงเลือกทางหลัง
เราเริ่มจากการจองชื่อบริษัทก่อนโดยทำการจองผ่านทางอินเตอร์เน็ท www.dbd.go.th ตอนจองมันไม่ยุ่งยาก และมันจะง่ายมากๆ ถ้าชื่อของเรามันพิสดาร แบบไม่มีใครเขาใช้กัน
ชื่อแรกที่เราจองเป็นชื่อที่ใกล้เคียงกับบริษัทเพื่อน แต่มันก็ยาวแทบจะเป็นประโยคเลย เราจองชื่อนี้ได้แล้วด้วย แต่พอคิดอีกที มันดูไม่ค่อยดี และไม่อินเตอร์เอาเสียเลย เราจึงเปลี่ยน ทีนี้แหละ จองเท่าไรก็ไม่ผ่าน เพราะว่าชื่อที่เราคิดได้ว่าดี คนอื่นเค้าก็คิดได้ แล้วเค้าก็จดกันไปแล้วทั้งนั้น
เราจึงต้องพักไปหาชื่อที่ความหมายดีๆ และเกี่ยวกับงานของเรา และที่สำคัญเราต้องชอบด้วย เพราะมันจะอยู่กับเราไปตลอด บางคนถึงขั้นไปหาหมอดูช่วยตั้งชื่อให้ก็มี
ไอ้ขั้นตอนที่เคยคิดว่าง่ายๆ คราวนี้กลับเป็นเรื่องยาก และใช้เวลานานนนนน……มาก เพราะชื่อที่เราก็จองไม่ได้ซักที เปลี่ยนตัวสะกดก็แล้ว กลับหน้าเป็นหลัง หลังเป็นหน้าก็แล้ว ระบบมันมักจะบอกเราว่ามีคนใช้ไปแล้ว และแม้ว่าจะไม่เหมือนเลยทีเดียวแต่ก็ใกล้เคียงก็ไม่ได้ มันไม่ยอมท่าเดียว
ทีนี้การตั้งชื่อนั้น ถ้าได้แล้ว ต้องไปจดทะเบียนภายใน สามสิบวัน ไม่อย่างนั้นจะถือเป็นโมฆะ เราขอแนะนำว่าให้เลือกชื่อที่ตัวเองชอบที่สุด เพราะมันจะกลายเป็นตัวเราในที่สุด และถ้าจดแล้ว เกิดอยากจะได้ชื่ออื่นขึ้นมา มันก็จะลำบากแล้ว เพราะถ้าจะไปแก้ก็เสียตังค์อีก จะยกเลิกก็ยิ่งแพงเข้าไปใหญ่ แพงกว่าตอนจดซะอีก
เราไม่ได้เสียค่าจองชื่อ แต่เสียค่าจดทะเบียนทุกขั้นตอนรวมกันก็ราวๆเจ็ดพันกว่าบาท และยังมีอากรแสตมป์อีกสองร้อยเห็นจะได้ ซึ่งอันนี้ก็ขึ้นอยู่กับเนื้อหาใจความที่เราจะใส่ลงไปในนั้น
เวลาจะไปจดทะเบียน เราเตรียมเอกสารไป ซึ่งเราเข้าไปโหลดมาจากเว็บไซต์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าหรือ DBD แล้วระบบก็จะให้เราพิมพ์เข้าไปในช่องว่าง ซึ่งเมื่อพิมพ์ไปแล้ว ก็ต้องตรวจทานให้ถูกต้อง และต้องพิมพ์เป็นกระดาษออกมาเลย จะเซฟเก็บไว้ก่อนไม่ได้
เอกสารทั้งหมดที่เราต้องเตรียมไปก็มีหลายอย่างเช่น คำขอจดทะเบียนบริษัท วัตถุประสงค์ และรายละเอียด หนังสือบริคนธ์สนธิ รายชื่อกรรมการผู้ถือหุ้น หลักฐานการชำระค่าหุ้น และกฏข้อบังคับ (ถ้ามี) โดยมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกเยอะ
และถ้าคนที่จะเป็นผู้มีอำนาจลงนามต่างๆเกี่ยวกับบริษัทไม่ไปทำการเองก็อาจจะให้ผู้อื่นไป โดยเราต้องทำหนังสือมอบอำนาจโดยใช้แบบฟอร์มที่เขามีให้โหลดกรอกไปให้เสร็จสรรพ นอกจากนั้นไม่ว่าจะเป็นเอกสารใดๆ เราก็ขอแนะนำให้นำทั้งตัวจริงและสำเนาไปด้วยจะได้ไม่เสียเวลา เช่น รายชื่อพยาน ซึ่งต้องใช้บัตรประชาชนตัวจริง ให้ตรงกับรายชื่อที่มีการลงลายมือกันด้วย
เมื่อไปถึงสำนักงาน เราก็เข้าไปติดต่อพนักงาน .ด้วยความโชคดี ซึ่งวันนั้นพนักงานไปประชุมข้างนอก เราก็เลยต้องรอ และคิดว่าจะออกมาหาอะไรกิน แต่พี่ที่ไปเป็นเพื่อนเราก็ฉลาดมาก ที่แนะนำว่าให้เจ้าหน้าที่ที่อยู่ตรวจสอบเอกสารให้ก่อน ถ้าผิดจะได้แก้เสียเลย จะได้ไม่เสียเวลา ซึ่งก็เป็นดังคาด เอกสารที่นำไป เราไม่ได้กรอกไปถูกทุกข้อ เราจึงต้องแก้โดยใช้พิมพ์ดีดไฟฟ้าที่เค้าจัดไว้ให้ กับน้ำยาลบคำผิดที่เรานำติดตัวไปด้วย
วันนั้นกว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการก็เล่นเอาเย็นเลยทีเดียว แถมเรายังต้องไปจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มให้เสร็จอีกด้วย เพราะเราไม่อยากเสียเวลาไปอีกในวันรุ่งขึ้น และด้วยความที่สำนักงานมันอยู่ห่างจากกันมาก เราจึงรีบไปทั้งๆที่ไม่ได้ตรวจสอบเอกสารให้ดีเสียก่อน
สาเหตุที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มก็คือ เราไม่รู้ว่ามันไม่จำเป็นต้องจดหากเราไม่ได้มียอดขายเกินหนึ่งล้านแปดแสนบาท แต่เราก็ยังโชคดีที่ไปจดไว้ เพราะในที่สุดเราก็ขายให้กับหน่วยงานที่เขาเข้าระบบภาษีมูลค่าเพิ่มและต้องการใช้เอกสารภาษีจากเรา
ด้วยความที่เราเร่งรีบเพราะใกล้เวลาเลิกงานของเจ้าหน้าที่เต็มทน เราจึงสะเพร่าไม่ได้ดูให้ดีว่า เอกสารใบรับรองบริษัทนั้นมันผิด เราจึงยังจดภาษีมูลค่าเพิ่มทันทีไม่ได้ และเสียเวลาตามกันจนเย็น แต่เจ้าหน้าที่ก็ใจดีมาก ประสานงานให้ตลอด ซึ่งเราก็กลับไปเอาเอกสารแผ่นใหม่มาส่งให้ทันเวลาเลิกงานเขาพอดี แต่วันนั้นเราก็ทำไม่เสร็จอยู่ดี เพราะเมื่อหมดเวลางานแล้ว เอกสารของเรายังไปไม่ถึงเจ้าหน้าที่ระดับบริหารที่กลับบ้านไปแล้ว เราจึงต้องไปรับวันหลัง
เท่านั้นยังไม่พอ วันที่ไปรับเอกสาร เราก็ไมได้ไปเอง ฝากเค้าไปเอาให้ คิดว่ามันไม่น่าจะมีอะไร แต่มันกลับมีอะไร เพราะเอกสาร ภพ01 จากที่นี่ก็ผิดอีก ซึ่งเราก็ไม่รู้ เพราะไม่ได้ดู แต่ที่รู้ก็เพราะลูกค้าเราบอกมา เราจึงต้องเสียเวลากลับไปทำใหม่ และตอนนั้นข้อมูลที่ผิดมันเป็นที่อยู่เสียด้วย เลยทำให้ ภพ 20 ที่จะออกตามมาผิดทั้งกระบวน
ดูเหมือนว่าอะไรๆมันจะผิดพลาดไปหมด เพราะใบภพ 20 ควรจะมาถึงสำนักงานเราภายในหนึ่งหรือสองสัปดาห์ ก็มาไม่ถึง ซึ่งเมื่อโทรไปถามจากเจ้าหน้าที่ เขาก็ยืนยันว่าส่งมาแล้ว แต่เราไม่เห็นจะได้รับสักที ถามมา ถามไปก็ได้ความว่า เลขที่บ้านที่ให้ส่งมันผิด แล้วเค้าได้เลขที่บ้านจากไหน ก็จากใบ ภพ 01 ที่มันผิดนั่นแหละ และนั่นเองจึงเป็นเหตุว่าทุกอย่างมันจึงผิดไปหมด
ในความไม่ดีทั้งหลาย เราก็ยังมีโชคดีอยู่บ้าง เพราะจู่ๆ เราก็ได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่สรรพากรว่า เขาอยู่ที่หน้าสำนักงานเราแล้ว แต่ไม่เจอเรา แล้วก็ไม่เห็นไอ้ใบ ภพ 20 นี้มันแปะไว้ในที่ๆเห็นได้ชัดตามที่เค้าได้แจ้งมาเป็นจดหมายด้วย
วันนั้นเจ้าหน้าที่เขาว่า เขามาตรวจให้คำแนะนำกับผู้ประกอบการใหม่ และด้วยความที่เรามีโชคสองชั้น ตอนนั้นเราอยู่ข้างนอกพอดี กำลังประชุมกับผู้ให้บริการเว็บไซต์อยู่ในขณะที่เจ้าหน้าที่อยู่ที่หน้าสำนักงานแล้ว เราเลยตาลีตาเหลือกรีบกลับมา
เขาก็บอกว่า มาตรวจให้คำแนะนำเท่านั้นจริงๆ แต่เราก็คุยกันด้วยดี (สำหรับเรา) แต่ไม่รู้ว่าเขาจะดีด้วยหรือเปล่า เพราะตอนนั้นเรายังทำอะไรไม่เสร็จสักอย่างเดียว เพราะบริษัทเพิ่งจะเปิดได้เดือนเดียว เลยยังวุ่นๆ ไม่มีอะไรจะให้ตรวจมากนัก
ตอนเริ่มต้นเราได้เล่าเรื่องลูกค้าต่างชาติที่ติดต่อกันทางอินเตอร์เน็ทไว้ ในที่สุดแล้ว มันก็เป็นอย่างที่เพื่อนพูดว่า “เรื่องแบบนี้มันจะจริงเหรอ”
ตอนนั้นเค้าบอกว่าให้เริ่มการผลิตเลย ไอ้เราที่เป็นคนขายหน้าใหม่ก็ตาโต เตรียมการผลิตเสียยกใหญ่ แต่ในที่สุดเมื่อให้โอนเงินมัดจำกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ส่งอีเมลล์ไปอีกหลายครั้งก็เงียบ โชคดีที่เราแค่ทำตัวอย่างไว้ ไม่ได้ไปสั่งวัตถุดิบไว้ หรือทำอะไรมากไปกว่านั้น
ตอนนั้นการเปิดบริษัทนี้ที่เตรียมไว้เพื่อการณ์นี้จึงต้องหาทางออกใหม่ และนั่นก็เป็นที่มาว่า ผ่านไปแล้วหนึ่งเดือนเราก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า จนเจ้าหน้าที่สงสัย
สำหรับเราที่เป็นตัวตั้งตัวตีจัดตั้งบริษัท เมื่อได้ทำไปแล้วก็ต้องทำต่อไป หาทางออกไปเรื่อยๆให้มันมีรายได้มา เพราะหุ้นส่วนเขาไม่ได้มาลงเต็มตัวอย่างเรา และคนที่จะอดตายถ้าไม่ดิ้นก็คือตัวเราคนเดียวเท่านั้น
แต่ในที่สุดเราก็หาทางออกได้ ตอนแรกก็คิดว่าดี แต่จริงๆแล้วมันก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ แต่ที่สำคัญมันก็ช่วยทำให้เราได้ใช้ประโยชน์จากการจดภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย
เราค้ากับที่นี่ได้ไม่นาน เพราะของเรามันขายได้น้อยมาก ทำไปก็ไม่คุ้ม แต่แม้ว่าจะไม่มีการขายเกิดขึ้น เรายังต้องยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ทุกเดือน แม้ว่าจะยื่นเป็น 0 เพราะเราไม่มีการค้าขาย (เพราะมันไม่ประสบความสำเร็จ เช่น บางเดือน ไม่มียอดเลย บางเดือนมีสามร้อยกว่าบาท)
การยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มเราต้องทำตลอดชีวิต หมายถึงทุกเดือนที่บริษัทยังคงเปิดอยู่ แม้ว่าจะไม่มีการขาย ก็ต้องยื่นเป็น 0 ไป และต้องยื่นให้ทัน ก่อนวันที่ 15 ของทุกเดือนด้วย มิฉะนั้นจะถูกปรับ
เรื่องภาษีต่างๆสำหรับเราแล้ว มันเป็นเรื่องบาดใจมาก เพราะช่วงแรกๆก็จ้างสำนักงานบัญชี แต่ก็มีผู้หวังดีบอกว่า น่าจะทำเองเพราะเราจะได้รู้ถึงความเคลื่อนไหวของเงินเข้าออก และมันก็ไม่ยากอะไร เราจึงทำเอง และผิดบ้าง ถูกบ้าง แต่จะผิดเสียมากกว่า
คนทำบัญชีแต่ละบริษัทที่เราเจอมาก็ทำไม่เหมือนกัน บางบิลบอกว่าได้ บางบิลบอกว่าไม่ได้ และไม่รู้ว่าเพราะโชคไม่ดีหรือว่าเพราะปากไม่ดี เรามักไม่ค่อยได้รับความช่วยเหลือเวลาโทรเข้าไปถามเรื่องเหล่านี้ หรือไม่ก็เพราะเราไม่ฉลาด เข้าใจอะไรยาก
เรื่องภาษีนี้เป็นเรื่องอ่อนไหวมากๆ เพราะมันไม่แค่หลากหลาย แต่ยังหมายถึงการตีความหมายของแต่ละบรรทัดในประมวลรัษฏากร และบิลภาษีอีกด้วย
เวลาเราไปจดทะเบียนพานิชย์ ในนั้นจะให้เราระบุ ผู้ทำบัญชีไปด้วย เพราะฉะนั้นเวลาเราทำผิด จะไปอ้างไม่ได้ว่า “ไม่รู้” เพราะเขาจะเข้าใจว่า คุณไม่รู้ แต่ผู้ทำบัญชีของคุณต้องรู้
แต่ก็นั่นแหละ นอกจากจะเชื่อคนแนะนำว่าให้ทำเองแล้ว เรายังไม่มีตังค์จ้างคนพวกนี้ไว้ประจำอีก หรือจะจ้างเป็นรายเดือนเราก็ลำบาก เพราะธุรกิจเรามันไม่ทำเงินทุกเดือนนั่นแหละ
สิ่งสำคัญที่ต้องรู้ก็คือว่า ภาษีอะไรยื่นเมื่อไร เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่มต้องยื่นก่อนวันที่ 15 ทุกเดือน ภงด 1 หรือ ภาษีค่าจ้างทำของต้องยื่นก่อนวันที 7 ของทุกเดือน นั่นคือภาษีที่คุณต้องหักไว้จากการจ่ายเงินให้กับคนที่คุณไปจ้างเขาทำงาน จะเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ก็แล้วแต่ประเภทของการจ้างล่ะ
เดี๋ยวนี้ระบบการจ่ายภาษีสะดวกดี เพราะเราทำทางอินเตอร์เน็ทได้ www.rd.go.th โดยที่ตอนแรกเราต้องไปขอหมายเลขผู้ใช้และรหัสผ่านจากสำนักงานสรรพากรเขตเสียก่อน แล้วก็เข้าไปทำในระบบ และเมื่อจะต้องจ่ายเงินก็มีหลายช่องทาง เช่น พิมพ์ใบเสร็จไปจ่ายที่ธนาคารบ้าง เคาน์เตอร์ เซอร์วิสบ้าง ไปรษณีย์บ้าง หรือไม่ก็เป็น ATM ที่ทำได้จากหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณเลย แต่จะเสียค่าบริการด้วยนะ
นอกจากเรื่องภาษีแล้ว เรายังต้องทำเรื่องประกันสังคม ถ้ามีการจ้างงาน และอีกอย่างหนึ่ง พอครบปีที่เราเปิดกิจการ เราต้องยื่น ภาษีประจำปี ที่จะต้องใช้บริการจากคนทำบัญชี เพราะเป็นการปิดงบ และยังต้องทำสต๊อกอีก แค่ฟังก็น่าปวดหัวแล้ว
สำหรับเราที่ไม่เหมาะกับเรื่องอย่างนี้ ไม่สนใจจะรู้เลยจริงๆ และที่สำคัญค่าใช่จ่ายในการทำบัญชีนี้ก็ยังแพงอีกด้วย และต้องยื่น ภงด 50 เมื่อครบปีภาษีอีกด้วย หรือเราจะเลือกตามปีปฏิทินก็ได้ แต่สำหรับบริษัทที่ยิ่งกว่าเล็กของเรามันไม่มีการเคลื่อนไหว คนทำบัญชีจึงคิดว่าเราควรจะรอให้ครบปีภาษีมากกว่า เพราะไม่ค่อยจะมีบิลให้ทำบัญชี
ไม่ใช่แค่เราเท่านั้นที่ไม่ชอบระบบแบบนี้ แต่เพื่อนๆที่รู้ว่าเราเปิดบริษัทต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
“ถ้าบอกเราก่อน จะไม่ให้จดเลยจริงๆ”
บางคนก็ว่า
“ตอนนี้พี่ไปแจ้งหยุดไว้แล้ว มันไม่ได้ใช้อะไร จะปิดก็ต้องจ่ายตังค์แพง”
ส่วนตัวเราเองก็เลยยื่นเปล่าบ้าง จ่ายภาษีขายจากของที่ค้างสต๊อกอยู่และพอจะขายได้บ้างไปพลางๆจนกว่าจะหมด เจ้าหน้าที่บอกว่า
“มันไม่มีทางขาดทุนหรอก เพราะขายไม่ได้ มันก็เป็นสต๊อก”อือ น่าคิดดี เพียงแต่เราต้องคุมสต๊อกให้ดี
เราได้รับคำแนะนำมาว่า เราต้องทำสต๊อกเป็นรายเดือน เดือนนี้ซื้อมาเท่าไร ใช้ไปเท่าไร มันคงจะดีถ้าทุกบิลที่ซื้อมันเอามาใช้ได้ แต่การที่เราซื้อจากแหล่งที่ไม่มีบิล จะทำให้เรานำบิลนั้นมาใช้ไม่ได้ มันเลยเป็นปัญหาว่า การผลิตของขึ้นมาอย่างหนึ่งแล้ว แต่บิลวัตถุดิบมันไม่ปรากฏเพราะว่ามันเป็นบิลเงินสดที่ไม่แสดงผู้ขาย มันเลยเป็นปัญหา ซึ่งถ้ามันเยอะเกิน มันจะเป็นรายได้ แต่ไม่มีค่าจ่ายมาหักล้าง กำไรเลยบวม เสียภาษีกันยกใหญ่ เห็นเค้าว่ากันอย่างนั้น
สำหรับเราแล้ว ผลิตก็นิดหนึ่ง ขายยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ บิลก็ไม่สมบูรณ์ แต่ยังไม่ถึงวาระปิดบัญชีเลยยังไม่รู้ชะตากรรม แต่ที่รู้ก็คือ ตอนนี้ก็ทู่ซี้เอาของที่เหลือตระเวนขายอีกตลาดหนึ่ง ประกอบกับของส่วนตัวที่ทำเงินได้มากกว่า แต่เพิ่งจะมารู้ทีหลัง แต่ถ้ามีโอกาสก็จะหาช่องทางใช้ประโยชน์จากมันให้ได้ ตั้งใจว่าจะลองต่ออีกซักปี อย่างที่พูดไว้ตั้งแต่เริ่มก็คือ แผนที่วางมันต้องคอยดูแล คอยเฝ้าระวัง เพราะบางครั้งมันไม่ได้เป็นไปตามที่คิด เป็นไปตามที่วาง ต้องปรับไปตามสถานการณ์นั่นเอง