จากหัวเรื่อง "อิสรภาพทางการเงิน เวลา และ เหมาะสำหรับทุกคน" หลายคนคงรู้แล้วว่าเป็น
อาชีพอะไร ถ้านึกไม่ออกให้มองไปที่คนรอบๆตัว แล้วดูซิว่าใคร
รวยที่สุด เอิ่ม... ถ้าเป็นดิฉันเอง ก็จะนึกว่า ใครนะที่เราเอา
เงินไปให้ทุกวัน ใช่แล้ว ไม่มีวันไหนที่ดิฉันจะไม่เข้าเซเว่นฯ ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม ดิฉันเป็นสมาชิก เติมเงินลง
บัตรสมาชิก และติดตาม
ของพรีเมี่ยม หรือว่า แต่ละเดือนข้าวของเครื่องใช้หมด เราก็ค้งต้องเข้าไปเพลิดเพลินกับการเดินชมของทั้งที่จำเป็นและที่อยากได้ให้
ห้างใกล้บ้านคุณ เรียกว่าเปิดบริการแบบประชิดตัวกันทุกซอกทุกมุม
หลายคนอาจจะเรียกชื่อต่างกัน แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว ผู้เขียนเรียกเข้าของ
กิจการเหล่านี้ว่า
นักธุรกิจ หากบางท่านนิยมเล่น
ตลาดทุน ก็อาจไม่ชอบแนวนี้ แต่สำหรับผู้เขียนผู้อยู่กับวงการนี้มายาวนาน จึงหลงไหลกิจกรรมทาง
ธุรกิจมากมาย และในวงการธุรกิจนั้น บุคคลสำหรับที่จะขาดไม่ได้ก็คือ '
นักขาย' มีที่ไหนบ้างที่ไม่มีนักขาย หรือไม่จ้าง
เซลล์ แต่ละที่อาจใช้ชื่อเรียกต่างกันไป แต่โดยรวมแล้ว หากมีหน้าที่หา
รายได้เข้า
บริษัท จะใช้ชื่ออะไรผู้เขียนก็เรียกเซลล์ทั้งนั้น แต่การให้ชื่อ ก็ถือเป็นหัวโขนอีกแบบหนึ่ง เพราะอาชีพนักขาย หลายคนรู้สึกไม่ชอบ เพราะฟังดูมันต้อยต่ำ ต้องไปง้อคน ราวกับจะไปกราบกรานให้เขาซื้อ และเมื่อก่อนผู้เขียนก็เคยมี
ทัศนคติแบบนี้ด้วยเช่นกัน
แต่นานมาแล้ว ผู้เขียนเคยเจอหนังสือเล่มหนึ่ง เขาเขียนเกี่ยวกับการขายว่า
การขายไม่ใช่การขอ ไม่ใช่การไปง้องอน และมีเทคนิคการขายมากมายที่หลาย
ปรมาจารย์หลายท่านใช้แล้วประสบความสำเร็จโดยปราศจากการขอ การไหว้วอนให้ลูกค้าซื้อ ซึ่งเมื่ออ่านมากขึ้น จึงได้รู้ว่า
นักขายเก่งๆหลายท่านมีเทคนิคที่ทั้งเหมือนและแตกต่างกันตามสถานการณ์และพื้นฐานของแต่ละท่านด้วย
อย่างไรก็ดี ผู้เขียนเริ่มชีวิตการทำงานในฝ่ายตรงข้ามกับนักขาย แต่ไม่เคยดูถูกนักขายหรือเซลส์คนไหนที่ได้รู้จัก เพราะมนุษย์พึงให้ความเคารพกันและกันเสมอ
ตอนนั้นผู้เขียนใช้เวลาเรียนรู้
เซลล์หรือ
นักขายเหล่านั้นมาหลายปี จึงเริ่มมีความคิดว่า อยากจะเป็นเซลส์บ้าง แต่ยังหาคนจ้างไม่ได้สักที ก็หาหนังสือมาอ่านเอา และหางานที่เค้าต้องการเซลล์ที่ไม่มีทักษะมากนัก และพยายาม
เรียนรู้มาเรื่อยๆ เพราะ
พื้นฐานการขายในแต่ละธุุรกิจก็ไม่ต่างกันมากนัก แต่บางธุรกิจที่
รายได้งามแสนงาม นักขายอาจจะต้องใช้ความสามารถพิเศษในบางเรื่องมากกว่าเซลล์สายงานอื่น
ตอนนั้นผู้เขียนพยายามย้ายงานมาอยู่ฝั่ง
เซลส์ได้เต็มตัว ทำ
รายได้ให้บริษัทราวกับเป็นเรื่องสนุก การได้
เป้ามา มัน
ท้าทายที่จะทำให้ได้มากกว่าคนเก่า หรือปีก่อน และการที่เราต้อง
บริหารคนอื่นให้ช่วยเรา
ขายมันยิ่งท้าทาย เพราะจำเป็นต้องใช้ัหลาย
ทักษะควบคู่กันไป การทำงานกับคนไม่ใช่เรื่องง่าย บางคน
บอร์นทูบี แต่บางคนไม่มีเลย แต่หากมีใจก็สามารถไปถึงฝั่งได้ แต่อาจจะเหนื่อยมากสักนิด นายเก่าของผู้เขียนเคยบอกไว้ว่า 'where is the will ,there is the way' แปลตรงตัวก็คือ ความปรารถนาอยู่ที่ไหน หนทางก็ย่อมปรากฏ ซึ่งคำว่า
ความปรารถนานั้น จะต้องแรงกล้า ไม่ใช่เพียงแค่อยาก เพราะไม่นานเราก็จะจากมันไปพร้อมกับความ
ล้มเหลวกลับมาที่งานขายกันต่อ อย่างที่เรียนให้ทราบในตอนต้นว่า งานขายมีหลายประเภท เรียกแตกต่างกัน และตอนนั้นผู้เขียนยังไม่ได้ดำรงตำแหน่งอะไรที่เกี่ยวกับการขายแม้แต่น้อย แต่หน้าที่หลักคือ
หาเงินเข้าบริษัท เมื่อเวลาประจวบเหมาะ ผู้เขียนก็มีโอกาสได้เข้าสู่ตำแหน่งนี้จริงๆเสียที โดยที่เราได้ใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้น และสำหรับผู้เขียนที่ประสบการณ์ตรงยังไม่มี ผู้เขียนจึงต้องทำงานหนักกว่าเพื่อนร่วมงานหลายเท่า ไม่ว่าจะเรื่องการ
ลงสนามจริงและการทำ
รีพอร์ท เหตุเพราะรีพอร์ทจะบอกเราได้ว่า ตอนนี้เราถึงไหนแล้ว และการทำรีพอร์ทนี้เองถือเป็นแผนผังสำคัญที่จะบอกทุกสิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเราได้ทำงานกับบริษัทที่มีแพทเทิร์นการทำงานที่เป็นระบบ เค้าจะมีแนวทางให้เราได้เดินตาม รีพอร์ทแบบไหนที่เราจะต้องทำ ทำเพื่ออะไร หากเราเอาใจใส่พอเราก็จะเข้าใจได้ทั้งกระบวนการ วันนี้ผู้เขียนไม่ได้ลงลึกใน
หน้าที่ของพนักงานขาย หากสนใจก็อ่านได้จากบทความก่อนหน้านี้ที่ผู้เขียนนำสารบัญ
หนังสือการขายในร้านเรามาแนะนำกัน
เมื่อเราสั่งสมประสบการณ์มายาวนาน การทำ
รายได่้จากการขายเริ่มหมดเสน่ห์ แล้วอะไรเล่าจึงจะทำให้ชีวิตเราตื่นเต้นขึ้นมาได้อีกครั้ง นั่นก็คือ การหารายได้ที่มาจาก
กำไร นั่นเอง เพราะ หากเราเพียงแต่ขายได้ แต่
ขาดทุนก็...คิดดูเอาเองได้เลย ในแง่ของ
ลูกจ้าง กับ
นายจ้าง ความคิดเรื่องนี้จะต่างกัน ยกเว้นบางบริษัทที่เค้าปลูกฝังให้พนักงานระลึกเสมอว่า นี่เป็นธุรกิจของเราเอง ซึ่งพนักงานจะ
แข่งขันกันทำงาน ถามว่า พนักงานบริษัทนี้โง่หรือฉลาด ผู้เขียนเคยคุยกับหลายคน บางคนบอกว่า โง่ เพราะไม่ใช่เงินของเรา ไม่ใช่เรื่องของเรา แต่สำหรับคนที่บอกว่าฉลาด คนๆนั้นเก็บกี่ยวความรู้และประสบการณ์ และนำมาปรับใช้กับธุรกิจของตัวเองได้ และด้วยพื้นฐานของการเป็นนักขายมาก่อน ประกอบกับทัศนคติแบบนี้ เค้าจึงเจริญในอาชีพ และในธุรกิจของเค้า มาถึงตรงนี้ก็ขอชื่นชมนายเก่าท่านหนึ่งที่ปรับทัศนคติของพนักงานให้เป็นบวกจากการทำงานหนักในหน้าที่ที่ไม่ใช่ของตัวเอง เค้าบอกว่า "ก็ดีที่เรามีข้อจำกัด คนเราไม่พอ เราเลยได้เรียนรู้หลายอย่าง" แม้ว่าบางคนจะบอกว่า่ ไม่ได้อยากรู้ และ รู้ไปก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรก็เถอะ
การทำธุรกิจหมายถึงอะไร?สำหรับผู้เขียน การทำธุรกิจเป็นทั้ง
อาชีพเลี้ยงตัว และ
กิจกรรมที่รักจะทำ เพราะหากไม่รักก็อย่าไปทำมัน มันจะเสียมากกว่าได้
อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า นักขายที่เก่งไม่จำเป็นต้องเป็นนักธุรกิจที่เก่ง เพราะบางคนอาจจะเพียงแค่ขาย แต่ไม่ทราบถึง
ต้นทุน กำไร ซึ่งสำหรับหลายคนที่ผันตัวเองมาทำ
ธุรกิจส่วนตัว หากลืม
ต้นทุน และ
กำไร ต้องการเพียง
ขายให้ได้ โดยลืมต้นทุน (สำคัญมากมาย มันคืออะไร) บางครั้งหากเราลืมต้นทุนสักอย่างหนึ่ง เราก็ไม่รู้ตัวเลยว่าเรา
ขาดทุนดังนั้นทั้ง
อาชีพนักขายหรือ
เซลล์ สำหรับผู้เขียนแล้ว เป็นอาชีพที่น่ารักมากที่สุดเพราะขยันมากก็ได้มาก และ
การทำธุรกิจก็เป็นอาชีพที่ยาก แต่ทำ
กำไรได้ทวีคูณ หรือ
ขาดทุนก็ได้ เพราะ การทำธุริจ คือ
การลงทุนประเภทหนึ่ง อย่างที่ทุกท่านทราบกันดีว่า
การลงทุนมีความเสี่ยง ก่อนลงทุน ท่านต้องศึกษาเรื่องที่ท่านกำลังจะลงทุนให้ตกผลึกเสียก่อน ไม่ว่าจะทำโดย
ใช้เงินลงทุน หรือใช้เพียงแค่
แรงเป็นทุนเท่านั้น เพราะเหตุใดผู้เขียนจึงพูดแบบนี้ ก็เพราะว่า เรามี
เวลาคนละ 24 ชั่วโมงเท่ากัน เวลาทำงานวันละ 9-12 ชั่วโมง บางคน
ขายไม่ได้ มี
รายได้เท่ากับ0 และขาาดทุนค่าแรง บางคนขายได้แต่ขาดทุน ก็มีรายได้ติดลบ และบางคนขายได้กำไรวันละ 500 บาท แต่เคยเป็นลูกจ้างบริษัทได้วันละ 2,000 บาทนี่เป็นเพียงเรื่องราวชวนคำนึง ไม่ช่การโน้มน้าวแต่ประการใด เพราะหากเหนื่อยนักก็หยุดพักเสียก่อน มีแรงแล้วก็ลุกขึ้นมาสู้ใหม่ เพราะวันนี้ย่อมไม่เหมือนเมื่อวาน และไม่มีวันไหนที่จะเหมือนกัน ดังนั้น
กำลังใจที่มาจากตัวเราเองที่มี
เป้าหมายแน่ชัด จะพาเราไปสู่
ความสำเร็จในที่สุด