เปิดเรื่องด้วยรูปวัด และจุดไฮไลท์ของกิจกรรมในวัด
ผู้เขียนแอนด์ เดอะ แก๊งค์ มีเวลาไม่มากนักในทริปนี้ที่จะไปเที่ยว เพราะจุดประสงค์หลักของการเดินทางครั้งนี้คือ ไปไหว้ตรุษจีน ซึ่งก่อนวันไหว้ เราพอมีเวลา เพราะมีคนทำการจ่ายของไว้ให้หมดแล้ว เราจึงพอจัดสรรเวลาไปเที่ยวดูศิลปกรรมในยุคก่อนผ่านฝีมือของช่างเพชรบุรีในสมัยนั้นๆ และยิ่งไปกว่านั้น จถดมุ่งหมายที่ปักหมุดในใจเสมอก็คือโอกาสการได้สะสมบุญ
เรามีเวลาเพียงครึ่งวัน เพราะกว่าจะเดินทางจากกรุงเทพ มาเพขรบุรี ก็ใช้เวลาราว 2 ชั่วโมง อีกทั้งตต้องแวะทำธุระอื่นๆและเอ็นจอยกระเพาะด้วยอาหารทะเลรสเลิศ
เมื่ออิ่มหนำสำราญกันถ้วนหน้าแล้ว ผู้เขียนที่รับหน้าที่โชเฟอร์จึงพาเพื่อนๆไปตามจุดหมายที่ปักหมุดไว้
ที่แรก เราตรงไป "วัดท่ากระเทียม" ด้วยความที่ไม่คุ้นทาง ผู้เขียนเปิด Gps ไป และคอยระแวดระวังเพื่อไม่ให้พลาด เพราะเราต้องไปกลับรถด้วยความที่ชอบขัดใจGps แต่ก็ยังจะเปิด จึงต้องคอยมองทางเองเป็นส่วนใหญ่
ถนนหลายเลนส์ทำเรากลับรถลำบากเพราะสายหลักวิ่งขึ้นลงภาคใต้ รถเยอะ และเร็ว แต่ก็มีช่วงว่างให้เราคบเข้าซ้ายหลังจากกลับรถได้เร็วพอสมควร
ผู้เขียนทราบจากเพื่อนว่า ที่นี่มี "ศาลพระเอกในดวงใจ "ของเขา นั่นก็คือ "อินทรีย์แดง" ผู้อยู่ในใจของใครหลายๆคนข้ามกาลเวลา
วัดอยู่ติดถนน เมื่อเลี้ยวเข้าไป เราก็ไปจอดรถใกล้รถทัวร์ที่นำนักท่องเที่ยวมา "กราบพระ" บ้าง "ไหว้พระราหู" บ้าง และหลักๆ ก็ คือ กราบรูปหล่อ "คุณมิตร ชัยบัญชา " ที่มีอนุสาวรีย์รูปหล่อที่อยู่ตรงทางเข้าวัด และ ด้านในสุด จะมีหุ่นขี้ผึ้งคุณมิตร รวมไปถึง เจดีย์ที่อยู่ลึกเข้าไปอีก
วัดนี้จริงๆแล้ว มีความความสวยงามของศิลปกรรมเก่าที่ศิลปินถ่ายทอดฝีมือไว้ที่โบสถ์และสิ่งปลูกสร้างภายในวัด แต่ผู้เขียนไม้ได้มีความรู้พอจะอธิบายความงามได้ถูกต้อง จึงขอละไว้ให้ผู้เชี่ยวชาญมาเล่าให้ฟังจะเป็นประโยชน์กับทุกท่านมากกว่า

บริเวณวัดด้านในกว้างขวางมาก มีครบองค์ประกอบตามแบบฉบับวัดทั่วไป แต่อย่างที่กบ่าวข้สงต้น ไฮไลท์ของที่นี่ คือ บริเวณด้านหน้าที่มีรูปหล่อสักการะพระราหู พร้อมชุดบูชาที่จัดเตรียมให้พร้อมในราคา 99 บาท


เมื่อเราจอดรถที่ลานด้านข้าง "พระราหู " เราก็ตรงเข้าไปด้านในสุดก่อนเพื่อกราบ "บูชาพระ"


และเมื่อกราบพระแล้ว เราก็ตรงเข้าไปสักการะรูปหล่อขี้ผึ้ง "คุณมิตร ชัยบัญชา "




เมื่อใช้เวลาที่นี่ครู่ใหญ่แล้ว ผู้เขียนก็เริ่มปฏิบัติภาระกิจสะสมบุญ ซึ่งที่นี่มีจุดบริการให้ทำบุญที่หลากหลาย ตั้งแต่ "การบริจาคโลงศพ" ,"กราบขอพรแม่นางกวัก",กราบขอพร "เทพทันใจ"และ อื่นๆ แม้บางท่านอาจคิดว่า เป็นวัดเชิงพานิชย์หรือไม่ โดยส่วนตัว ผู้เขียนคิดว่า การสร้างโอการการทำบุญให้สะดวก ง่าย และสร้างสถานที่สวยงาม เป็นสิ่งจูงใจคนสมัยปัจจุบันที่ชอบความสะดวก และชอบการถ่ายภาพ อีกทั่ง การเชิญชวนให้พุทศาสนิกขนมาร่วมทำบุญแม้เพียงเล็กน้อย ย่อมดีกว่า ใช้เวลาไปทำเรื่องไม่เป็นประโยชน์หรือก่อกรรมทำชั่วต่างๆ


นอกจากนั้นที่นี่ยังมีวัตถุมงคลสำหรับผู้ต้องการนำไปบูชาที่บ้านหรือเป็นของฝาก แน่นอน มีทั้ง "พระเครื่อง " รูปหล่อพระ และ สำหรับท่านที่ "บูชาเทพ " ที่นี่ก็มี รูปหบ่อ "พระพิฆเนศ" หลากลีลาไว้ให้เช่ากันอีกด้วย
สำหรับผู้เขียน จุดหมายอีกแห่งในวัดนี้ คือ การทำบุญกับวัว เป็นการ "ไถ่ขีวิตโค กระบือ "ที่สร้างความสุขใจได้ด้วยการให้ เราสามารถทำบุญได้ตามกำลัง แล้วนำกล้วยไปป้อนวัวที่ติดเชือกอยู่ตรงนั้น หากใครเกรงว่าจะถูกวัวทำร้ายก็สบายใจได้ เพราะวัวไม่สามารถออกได้ไกลจากระยะเขือก ซึ่งการป้อนกล้วยเหมือนจะง่าย แต่คงไม่ใช่กับทุกคน

เมื่อเสร็จกิจกรรมที่ฐานวัว เราก็พาดันเดินเข้าไปด้านหลังที่เป็นบริเวณวัดที่ไม่มีนักท่องเข้าชมในช่วงเวลานั้น
ตามที่กล่าวข้างต้น โบสถ์และสิ่งปลูกสร้างอื่นๆดูสวย เก่าและ "ขลัง" ไปพร้อมๆกัน แนะนำให้เข้ามาดูด้วยกันหลายๆคน เพราะด้านในเงียบสงบ บางท่านอาจรู้สึกวิเวกวังเวงได้
นอกจากนั้น ด้านในยังมีวิหารปูชนียสถานให้เรากราบพระได้อีกด้วย



ขาออก เราเดินย้อนสวนกลับมาอีกทางช่องหนึ่งก็เจอสถานที่กำลังปลูกสร้สงใกล้แล้วเสร็จ มี "รูปปั้นองค์เจ้าแม่กวนอิม" และ "เทวดาประจำวัน "ให้กราบบูชากันอีกด้วย

ผู้เขียนลืมอีกจุดหนึ่งช่วงที่เดินเข้าไปด้านหลัง จะเจอรูปหล่อหลวงปู่อยู่ด้านบน และมีรูปหล่อ "องค์พระพิฆเนศองค์ใหญ่" ไว้ให้กราบไหว้กัน
ที่นี่เรียกว่า มีเวลาน้อย แต่มาทั้งทีได้กราบครบทุกสายบูชา หากใครผ่านอำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรีก็สามารถแวะเวียนมาเก็บ "สะสมบุญ" สร้าง "อารมย์สุข " ในชาตินี้กันได้เลยจ้า
ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านไวเ ณ ที่นี้ด้วย