การสื่อสารกับลูกค้าเมื่อพบกันโดยตรง
เพื่่อการสนทนาในเนื้อหาที่ไม่ได้เตรียมไว้
สำหรับเล่มสีฟ้า จะเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นมืออาชีพเวลาไปสมัครงาน หรือสัมภาษณ์งาน เพราะในใบสมัครงานนั้น เราจะเห็นว่ามี2 ภาษา หากเรากรอกข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษ ก็จะดูดีขึ้น แม้ว่าจริงๆเวลาใช้งานจะสเนกๆฟิชๆก็ตาม แต่เรียกว่าพอสื่อสารได้ ก็ทำให้ดูดีกว่าคนที่ไม่ได้เลย หรือได้แต่ไม่แสดงออก
เล่มนี้ก็แบ่งเป็น 2 ส่วนเหมือนกัน ส่วนแรกเป็นบทสนทนาเกี่ยวกับการสมัครงานทั้งหลายทั้งปวง มีตัวอย่างหลายตำแหน่ง ที่คำศัพท์ที่ใช้อาจต่างกัน นอกนั้นก็ยาวไปจนถึง การสัมภาษณ์งานที่เราประสบความสำเร็จจากใบสมัครงานในขั้นตอนแรกไปแล้ว
ทีนี้การสัมภาษณ์งานนั้น แม้จะมีบทสนทนาแบบพื้นฐานมาให้ แต่อย่าลืมว่า การพูดคุยนั้น เราไม่อาจคาดเดาได้ว่า ผู้สัมภาษณ์จะถามอะไร หรือจะคุยอะไร ดังนั้น ประโยคพื้นฐานอาจไม่พอ เหมือนกับเวลาคุยกับลูกค้า เราก็คาดเดาล่วงหน้าไม่ได้ว่าลูกค้าจะถามเรื่องอะไร ดังนั้น ส่วนที่2 ที่เป็นไวยากรณ์จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญ เพราะบางตำแหน่ง แค่สื่อสารได้บ้างก็เป็นที่น่าพอใจ เพราะหากเราจะสมัครงานไกด์ เลขานายฝรั่ง เซลส์หรือจัดซื้อต่างประเทศ หากภาษาอ่อนแอมาก เราก็อย่าไปพิจารณาตำแหน่งเหล่านี้ รอให้แข็งแรงก่อน แต่หากเป็นการสื่อสารในระดับกลางที่เค้าไม่เน้นภาษามากนัก มีลูกค้าต่างชาตินานๆมาที ไม่ใช่ภูเก็ต พัทยา อะไรทำนองนี้ เราอาจะพอกล้อมแกล้มไปได้
ในเล่มนี้ก็จะมีประมาณนี้ อ่านรายละเอียดที่หน้าสารบัญได้เลยค่ะ
ผู้เขียนเคยทำงานบริษัทฝรั่ง และเห็นพนักงานหลายคนที่จบแค่มอสาม มอหก หรือสายอาชีพมา ภาษาไม่มีติดตัวมาเลย แต่อาศัยทำงานไปนานๆ ก็จะสื่อสารได้เอง เรียกว่า อ่านออกบ้าง พูดได้บ้างและคุยกับนายรู้เรื่อง นั่นก็เพราะเค้าฝึกทุกวัน เพราะนายถามทุกวัน มันต้องตอบให้ได้ เหมือนเวลาที่คนที่ไปแต่งงานต่างประเทศ ใครจะคิดว่าวันหนึ่งเราจะเจอเนื้อคู่เป็นชาวต่างชาติ เพื่อนของผู้เขียนหลายคนไปมีชีวิตชิลๆที่ต่างประเทศกันหลายคน เพราะได้สามีต่างชาติ เยอรมันบ้าง ดัชบ้าง ตอนอยู่โรงเรียนไม่ได้เรียนภาษาเยอรมัน แต่ทำไมไปอยู่บ้านเค้าแล้วพูดได้ จะว่าเพราะไปเรียนภาษาเหรอ ใช่ นั่นก็สั่วนหนึ่ง แต่ที่สำคัญคือ เค้าต้องใช้มันตลอด ไม่ใช่แค่ทุกวัน เรียกวัน ทั้งวัน ออกนอกบ้านก็ต้องสื่อสาร ซื้อของ ไปหาหมอ ไปสวนสาธารณะ ล้วนแต่ต้องสื่อสาร
ใครบอกว่าการเรียนภาษาต่างประเทศมันยาก ต้องใช้วิธีข้างต้น เพราะมันเป็นสถานการณ์บังคับ บางคนอาจบอกว่า ใช่มันพูดได้ สื่อสารได้ แต่ไม่ถูกต้อง ผู้เขียนก็จะตอบอีกว่า แค่เบื้องต้นให้สื่อสารได้ก็ถือว่าดีแล้ว เพราะไม่ใช่ภาษาพ่อภาษาแม่ ขอแค่กล้าพูด กล้าสื่อสารออกมา เมื่อเราได้คุย เราเห็นอีกฝ่ายตอบมา ก็จะเริ่มเรียนรู้ว่าอะไรผิด ถูก และกลับมานั่งเปิดหนังสือดู จะเข้าใจมากกว่าลุยอ่านไปแต่ไม่ใช้ ฝรั่ง หรือต่างชาติที่เป็นคนปกติเค้าไม่โกรธหรือดูถูกเราหรอก ว่าภาษาไม่ดี เพราะมันไม่ใช่ภาษาของเรา เราเองยังไม่โกรธเค้าเลยที่เค้าพูดภาษาเราไม่ได้ พูดไม่ถูก หรือเข้าใจกันได้ยาก อย่างน้อย ขอแค่กล้าใช้ กล้าสื่อสาร
สำหรับการขายของบนเว็ปต่างประเทศ เช่น eBay นั้น เราอาจลืมไวยากรณ์ไปได้เลย เพราะชื่อสินค้านั้นมันมีจำนวนตัวอักษรจำกัด มาแต่งประโยคสวยๆ จะเก็บคำสำคัญไว้ใส่ไม่ครบ และนี่ก็คือพื้นฐานของการสื่อสารเลยทีเดียว "คำศัพท์" นั่นเอง
หากเราทำงานในด้านการ์เม้นท์ เราย่อมต้องรู้จักการ์เม้นท์ ใครขายอาหารก็ต้องรู้ศัพท์อาหาร ใครขายแคคตัส หรือกระบองเพชร ก็ต้องรู้จักศัพท์ของมัน เอาแค่นี้ให้ได้ก่อน แล้วค่อยมารังสรรค์ประโยคในส่วนของรายละเอียดสินค้า แต่หากผิด tense จะมีผลให้ฝรั่งไม่ซื้อสินค้าจากไทยมั้ย คงไม่
สมัยนี้เทคโนโลยีมีติดกาย วิธีง่ายๆ โหลดดิกชันนารีมาไว้ แบบไทย-อังกฤษ เพราะหากเราคิดเป็นภาษาไทย ก็ต้องเริ่มต้นที่ภาษาไทย เมื่อจะพูดคำไหนก็เปิดดิกฯคำนั้น ท่องคำที่เกี่ยวข้องกับภาระกิจของเราไว้ แล้วจะสื่อสารได้รอด แม้จะแค่รอดก็ดีกว่าไม่รอด
หากจะอัพเกรดขึ้นอีกนิด ก็หาบทความที่ชอบมาอ่าน ชอบหนังก็ดูหนังซาวน์แทรก ชอบเพลงก็หาเนื้อเพลงมาหัด แต่ปัญหาก็คือ ภาษาในหนังกับเพลงมันจะไม่ใช่ภาษาเขียน มันเป็นภาษาพูด กับสแลง อาจทำให้เรางงได้ แต่ได้ความหมายก็โอเค
แต่หากจะเอาเป๊ะก็หาบทความมาอ่าน เช่น ตอนนี้ เครียด ตกงาน ทำไรดี ก็เปิดดิกฯ หาคำว่า เครียด จะเจอ stress ก็เข้าไปอ่าน อาจจะไม่เจอประเด็นเรื่องตกงาน ก็อ่านเรื่องเครียดไปก่อน หรือ อยากขายรองเท้า ก็ไปหาบทความภาษาอังกฤษเรื่องรองเท้ามาอ่าน ได้ทั้งศัพท์ ได้ทั้งไวยากรณ์
การเรียนภาษา มีอะไรอีกมากมาย สำหรับผู้เขียน มันเป็นความท้าทาย เพราะอย่างแรก ไม่ชอบโดนหลอก เพราะหากเราฟังรู้เรื่องก็จะไม่มีใครมาหลอกเรา และที่สำคัญ เป็นการเปิดโลก เพราะโลกนี้ภาษาพื้นฐาน หรือภาษากลางคือภาษาอังกฤษ ความรู้มากมายจะถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษ แม้แต่คนชอบเม้าท์ ฝรั่งก็เม้าท์ ไปอ่านเรื่องของเค้าบ้าง แล้วจะรู้ว่า มุขเค้า เราไม่เก็ท เพราะสิงแวดล้อมมันต่างกัน พื้นฐานสังคมต่างกีน แต่ก็ยังดีกว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ขอให้โชคดีจงอยู่กับทุกท่าน