นานแสนนานมาแล้ว ท่ามกลางขุนเขารกทึบที่ทอดตัวเป็นแนวสันเขายาวเหยียดไปไกลจนสุดลูกหูลูกตา จอมขมังเวทย์ที่ปราดเปรื่องเลื่องลือผู้หนึ่งผู้ที่ชื่อเสียงของเขาขจรขจายไปทั่วพิภพ
จบแดน เพลานี้ เขากำลังตีดาบอาคม ขึ้นภายใต้ขุนเขาแห่งนั้น
ดาบอาคมนี้ส่งให้ชายผู้นี้มีชื่อเสียงลือลั่นขึ้นในภายหลัง และ
ชื่อเสียงของเขาได้ขจรขจายไปไกลทั่วทุกสารทิศจน กลายเป็นที่หวาดหวั่น เกรงขาม ของผู้ที่จะมาต่อกรเป็นศัตรูกับเขายิ่งนัก และดาบนี้เอง ดาบที่สร้างชื่อสะท้านฟ้าสะเทือนดินเล่มนี้ เพียงแค่ได้ยินชื่อ ผู้คนก็พากันสยบยำเกรง ใช่แล้ว ชื่อของมันก็คือ ดาบฟ้าพื้น
แต่จะมีสักกี่คนในภิภพนี้ที่รู้ว่าก่อนที่เขาจะตีดาบฟ้าฟื้นขึ้นมาได้นั้น เขาผู้นั้นได้เคยตีมีดอาคมมาแล้วเล่มหนึ่ง แต่ทว่าในครั้งนั้นเขายังไม่มีชื่อเสียง ยังอ่อนเยาว์ มีเพียงแต่วิชาอาคมเท่านั้นที่แกร่งกล้า และในวัยนั้นตัวเขาเองก็เชื่อมั่นและมั่นใจในวิชาอาคมของเขามาก แต่มันก็ออกจะมากเกินไปสักหน่อย และอะไรก็ตามที่มากจนเกินไปย่อมไม่เกิดผลดี
เวลานั้นเขาเชื่อว่าแทบจะไม่มีใครในภิภพนี้เหนือกว่าเขาอีกแล้วและ
ความเชื่อมั่นถือผิดเช่นนี้กลับเป็นภัยมหันต์ ในภายหลัง
เขาตีมีดเล่มนั้นขึ้นในคืนวันเพ็ญเดือนเก้าตรงกับวันเสาร์ห้า ซึ่งถือว่าเป็นวันที่เหมาะที่ควรต่อการตีมีดตีดาบ แต่ทว่า การจะตีมีดหรือดาบอาคมนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นอกจากวัยวุฒิและคุณวุฒิแล้ว ประสบการณ์ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน
แม้ว่ามันเป็นมีดที่คมกริบน่ากลัว ที่หากว่าออกจากฝักคราใด มักได้ดื่มเลือดเสมอแต่มันก็ยังไม่อยู่ในการควบคุมของเขาซึ่งเมื่อยังใช้และสยบมันไม่ได้ในเวลานี้ ก็จะทำได้ก็แค่ลงวิชาอาคมที่เรียนรู้มาแม้จะดูว่าเข้มแข็งแกร่งกล้าแล้ว แต่ก็ยังไม่แข็งพอที่จะควบคุมอาคมเวลาลงอักขระบนมีดได้ ซึ่งเมื่อลงอาคมไม่ได้ก็จะควบคุมมันไม่ได้เช่นกัน เมื่อนั้นผลร้ายจะบังเกิดกับตัวเขาเอง
อาคมตรึงมันไว้ก่อนเท่านั้นเองและมีดเล่มนี้เล่มที่เขาคุมไม่ได้ มันมีชื่อว่า “มีดฟ้าลั่น”
เขาตรึงมันเอาไว้และนำติดตัวไว้ไม่เคยห่างกายแต่ก็ไม่เคยเลย
สักคราเดียวที่จะนำมันออกมาใช้ ดังนั้นผู้คนทั่วไปจึงรู้จักแค่ดาบฟ้าฟื้น จะมีใครรู้จักหรือพบเห็นมีดฟ้าลั่นก็หาไม่
แต่ที่ว่าไม่มีใครล่วงรู้เรื่องนี้เลยก็คงจะไม่ถูกนัก เพราะว่ามีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่รู้…รู้ว่า “เขา” ผู้นั้นมี “มีดฟ้าลั่น“ อยู่
“มัน” ผู้นี้รู้จักกับ “เขา” ตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย และถึงแม้จะดูเป็นเพื่อนเกลอกันแต่ก็ไม่ลงรอยกันอยู่ในทีเพราะมีเรื่องเล่ากันว่า เขาทั้งสองคนได้ตกหลุมรักผู้หญิงคนเดียวกัน
ในเวลานั้นผู้คนพากันมองว่า “มันผู้นี้” ไม่มีวิชาอาคมใดๆติดตัว แต่นั่นก็เป็นการเสแสร้งมาโดยตลอด เพราะต่อหน้า “เขา” แล้ว “มัน” จะเก็บงำวิชาจนเงียบ ไม่ยอมแพร่งพรายให้ใครรู้เด็ดขาด ยอมสู้อดทนเสมอมา ไม่แพร่งพรายให้ใครรู้ว่า”มัน”เองก็มีวิชาอยู่ด้วยเหมือนกัน
ถึงแม้ในตอนนั้นมันจะยังไม่อาจเทียบกับเขาได้ก็ตามที แต่วิชาที่มันเรียนรู้ก็ไม่ใช่ธรรมดาและตัวมันเองก็มีความสามารถอยู่ในระดับแถวหน้าเลยทีเดียว
ไม่มีใครเคยสงสัยว่าหลายครั้งหลายคราที่ผ่านมา
มันหลุดลอดจากการจนมุมได้อย่างไรและมันสามารถหลบเลี่ยงเรื่องราวร้ายๆได้อยู่เสมอทำไมมันผู้นี้ถึงได้เอาตัวรอด
มาได้นั่นก็เพราะมันผู้นี้มีวิชาเก่งกล้าอยู่เหมือนกันและนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้มันแน่ใจว่าเขาผู้นั้นก็ไม่เคยระแคะระคายเรื่องของมันเลยแม้แต่นิดเดียว และ เมื่อมันแอบรู้ว่าเขาได้ตีดาบฟ้าฟื้นและพกพามีดฟ้าลั่นติดตัวเสมอ จึงคิดว่าสักวันมันจะต้องได้ครอบครองทั้งสองสิ่ง
มันสู้เพียรหาวิธีต่างๆที่จะทำให้เขาผู้นั้นเพลี่ยงพล้ำพ้นทางหรือหลอกล่อให้เขาต้องออกรบแล้วใส่ความว่าเป็น ‘กบฏ’ ซ่องสุมผู้คน มันเพ็ดทูลทุกเรื่อง ที่จะทำให้เขาพ่ายแพ้และเสียท่าให้ได้โดยไม่คำนึงถึงวิธีการ มันคิดแค่ว่า อะไรก็ได้ ไม่สำคัญว่าถูกหรือผิดดีหรือเลว แต่ ขอเพียงให้กำจัดเขาผู้นั้นได้นั่นแหละ แล้วมันจะครอบครองทุกๆอย่าง ไม่เว้นแต่คนที่เขาผู้นั้นรัก มันตั้งใจไว้อย่างนั้น
แต่เมื่อศึกใหญ่ได้มาถึงเขาผู้นั้นเข้าต่อสู้อย่างสุดความสามารถ
เขาได้ใช้คาถาอาคมต่างๆเท่าที่เรียนรู้มาจนเกือบชั่วชีวิตแต่ก็ไม่สามารถหยุดศัตรูผู้นี้ได้เลย มันเก่งมากและดูเหมือนว่าจะ เก่งกว่าเขาเสียอีก แต่ ไม่ว่าอย่างไร เขาก็จะต้องปราบมันตนนี้ลงให้ได้ เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว พิภพนี้จะพบกับความวิบัติ
และในเมื่อไม่มีทางเลือกใดๆแล้วเขาผู้นั้นก็จำใจต้องคลายอาคมที่ตรึงมีดฟ้าลั่นไว้จนได้
พลานุภาพและอานุภาพของมีดฟ้าลั่นที่เขาตรึงไว้นั้นบัดนี้ก็ยังคงไม่เสื่อมถอย เมื่อเขาชักมีดออกมากวัดแกว่งครั้งใดก็เกิดอัศนีบาตไปทั่ว เขาจึงคิดไว้ว่า เมื่อจำเป็นก็ต้องรีบใช้และจะต้องรีบหยุด … เพราะไม่เช่นนั้นมันจะเกินไปกว่าที่เขาจะควบและคุมมันได้อีกต่อไป
ศัตรูร้ายตนนี้จ้องมองอาวุธที่เขากวัดแกว่งอยู่ในมืออย่างตะลึงลาน และไม่เชื่อสายตาตัวเอง เพราะมันไม่เคยคิด ว่าเขาผู้นั้นยังจะมีอาวุธร้าย ที่มีอิทธิฤทธิ์เหลืออยู่อีก และเพราะความไม่เชื่อนี้เอง ที่ทำให้มัน ไม่มีโอกาสได้คิดอีกเป็นครั้งที่สอง มันได้ตายคาคมมีดอาคม ที่มันไม่เคยนึกถึง และไม่คิดว่าจะมีตัวตนอยู่จริงๆ
เมื่อมีดฟ้าลั่นถูกคลายอาคมที่ผนึกไว้ก็จำต้องปิดให้ได้ก่อนที่มีดนั้นจะอยู่เหนือการควบคุม เขาใช้วิธีนำดาบฟ้าฟื้นประกบ และแยกอาคมออกจาก มีดฟ้าลั่น เพราะไม่ว่ายังไงก็ต้องหยุดมีดฟ้าลั่นให้ได้ แล้วร่ายคาถาหนึ่งพันแปดร้อยบท เพื่อควบคุมมันอีกที และในที่สุด เขาก็สามารถตรึงมีดนั้นได้อีกครั้ง แม้ว่าครั้งนี้จะต้องสูญเสียดาบฟ้าพื้นก็ตาม แต่เขาก็จำต้องยอม
ในที่สุดสามวันสามคืนแห่งการลงอาคมตรึงดาบและมีดเข้าด้วยกันก็ผ่านพ้นไป
เขาสามารถหยุดมันไว้ได้อีกครั้งแต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วมันจะต้องไม่ถูกพบหรือคลายอาคมอีก แล้วเขาผู้นั้นก็ได้จัดการซ่อนคาถาคลายผนึก ที่จะปลดมีด นำมาใส่ไว้ในกลัก แล้วผนึกอย่างแน่นหนาอีกครั้ง แล้วนำไปซ่อนไว้ในที่ห่างไกลผู้คน ในที่ๆมนุษยธธรมดาไม่มีสิทธิ์ล่วงล้ำ หรือเหยียบย่างเข้าไปในที่ศักสิทธิ์แห่งนั้นได้
เขาจัดแจงลงคาถาบังตาตรึงมันไว้อีกครั้งเพื่อป้องกันผลร้ายที่จะบังเกิดแก่ผู้คนที่อาจจะได้พบและเปิดออกโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
เมื่อเสร็จพิธีตรึงมีดที่สะเทือนฟ้าและดินพร้อมกับซ่อนคาถาคลายผนึกแล้ว ตัวเขาเองก็หันกายเข้าสู่ป่า และไม่คิดจะ หวนกลับ และจะไม่มาปรากฏตัวให้ใครได้เห็นอีกเลย
เขาเองไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา มันผู้นั้นได้ติดตาม เสาะหาข่าวคราวของเขามาโดยตลอด และได้ล่วงถึงรู้ถึงพลังอำนาจของมีดฟ้าลั่น และตอนนี้มันสู้เพียรพยายามอีกครั้งเพื่อที่จะเสาะหาที่ซ่อนคาถาคลายผนึกมีดฟ้าลั่นให้จงได้ มันรู้แต่เพียงว่าครั้งสุดท้ายที่พบกับพลังของมีด เขาผู้นั้นได้ย้อนเข้าสู่ป่าอย่างไม่หวนกลับ และที่ซ่อนนี้ก็ไม่มีใครล่วงรู้ตำแหน่งที่แน่นอนเพราะจู่ๆพลังอาคมของมีดฟ้าลั่นก็หายไปเสียเฉยๆ ยากที่จะจับทิศเดาทางได้ถูก มันรู้แต่ว่ามีดฟ้าลั่นที่บัดนี้กลายเป็นมีดธรรมดาๆ และดาบฟ้าพื้นที่สูญสิ้นพลังนั้น เขาผู้นั้นได้เก็บงำคู่กายไว้เสมอ
เมื่อไม่มีทางใดจะทำได้อีก มันผู้นี้ก็ได้แต่อดใจ รอ เท่านั้น มันรู้ว่าทั้งมันและเขาต่างก็ต้องตั้งหน้าตั้งตารอเวลา ฝ่ายหนึ่งรักษามีดและดาบและอีกฝ่ายก็จ้องจะค้นหา หากฝ่ายใดที่ชิงขยับตัวเผยตำแหน่งออกมาก่อน อีกฝ่ายหนึ่งย่อมจะรู้ความเคลื่อนไหวได้โดยทันที
ดังนั้นทั้งสองคนต่างคุมเชิงไม่เคลื่อนไหวหรือใช้วิชาต่างๆโดยพละการและต่างฝ่ายต่างรอคอยกันมาเป็นเวลานานแสนนานทีเดียว
เวลาค่อยๆผ่านไป ผ่านไปๆจากสิบปีเป็นร้อยปี จนผู้คนต่างลืมเลือนเรื่องราวของเขาทั้งสองลงสิ้น
ปัจจุบัน ปี พุทธศักราช 2565 ณ กลางป่าแห่งหนึ่ง จังหวัดกาญจนบุรี
ใครจะเชื่อบ้างว่าปาไม่หวนกลับ ที่เคยรกทึบในอดีตและที่ไม่เคยมีใครล่วงล้ำเข้าไปได้เพราะเขาร่ายคาถากำกับไว้นั้น มาบัดนี้จะถูกแผ้วถางลงมีการตัดถนนและการสำรวจเล้นทางเพื่อการสัญจรจนหมดสิ้นแล้ว เมื่อความเลวร้ายรุกถึงป่าที่เคยถูกผนึกคาถาเอาไว้ เห็นทีจะถึงกาลแห่งการวิบัติอีกครั้งหนึ่งแล้ว
ณ กรุพระแห่งหนึ่งที่อยู่ในบริเวณนั้นที่ๆเขาผู้นั้นนำกลักคาถาไปซ่อนและปิดผนึกบังตาไว้ ขณะนี้กลับถูกค้นพบโดยคนกลุ่มหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ…
…วันนั้นเป็นวันกาลทิน เป็นวันอุบาทว์และโลกาวินาศที่บังเอิญมาคาบพร้องข้องเกี่ยวกัน มนตราและคาถา ตลอดจนสิ่งที่ผนึกกลักคาถานั้นลุแก่เวลาที่ต้องเสื่อมลงเพราะมนุษย์ที่จิตใจละโมบ โลภมาก สกปรก คิดคด เข้ามาพบเห็น เมื่อคาถาที่สะกดไว้คลายออกกลักคาถาก็ถูกค้นพบทั้งพลังของดาบฟ้าฟื้นและมนต์หนึ่งพันแปดร้อยบทก็ไม่อาจกักกั้นมีดฟ้าลั่นได้อีกต่อไป
เมื่อทุกอย่างคลายลง มันก็ย่อมรู้ที่ซ่อนของกลักคาถาคลายผนึก จึงไม่รอช้ารีบชิงลงมือทันที แต่พอมันเริ่มเคลื่อนไหวเท่านั้น “เขา” ผู้นั้นก็ย่อมล่วงรู้เช่นกัน
เมื่อไม่มีคาถาที่จะสะกด “กลักคาถาผนึกมีดฟ้าลั่น” พลังนั้นก็เริ่มลุกตื่นขึ้นมาและมีดฟ้าลั่นที่หลับไหลเป็นร้อยปีก็หวนคืนพลังอำนาจกลับมาอีกครั้ง
“ถ้าพลังแห่งมีดฟ้าลั่นคืนครบสมบูรณ์โดยผู้หนึ่งผู้ใดได้ครอบครองกลักคาถานั้นไซร้ มันผู้นั้นจะสามารถควบคุมได้ทั้งดาบฟ้าฟื้นและมีดฟ้าลั่นและเมื่อใดมันใช้ดาบฟ้าฟื้นและมีดฟ้าลั่นจนเกินการควบคุมได้
…เมื่อนั้นแหละความตายและหายนะก็จะอุบัติขึ้นมันจะนำความวิบัติมาสู่มวลมนุษย์อีกครั้งหนึ่งซึ่งดูเหมือนว่า บัดนี้ก็จะถึงเวลานั้นแล้ว เช่นกัน…”
